MOU 10 ห้างร้านดังหนุนแคมเปญ“รวมพลังหาร 2 เปลี่ยนใหม่ ประหยัดชัวร์”

28 ก.พ. 2559 | 09:41 น.
กระทรวงพลังงาน ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือกับภาคเอกชน 10 บริษัทชั้นนำ ทั้งห้างสรรพสินค้า  ดิสเคาท์สโตร์ โมเดิร์นเทรด ตลอดจนร้านค้าออนไลน์ ‘คิกออฟ’กิจกรรมส่งเสริมการตลาดหนุนให้ประชาชนตัดสินใจเลือกซื้อหลอดไฟ LED เครื่องปรับอากาศ ฉลากเบอร์ 5 ที่ได้ผ่านการทดสอบแบบ SEER เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน ตามแคมเปญ “รวมพลังหาร 2 เปลี่ยนใหม่ ประหยัดชัวร์”

S__26427397 พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงพลังงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และภาคเอกชน 10 บริษัทที่เป็นผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำที่มีสาขารวมมากกว่า 650 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันส่งเสริมการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้โดยมี นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน และดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม

พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้เริ่มรณรงค์แคมเปญ “รวมพลังหาร 2 เปลี่ยนใหม่ ประหยัดชัวร์” มาตั้งแต่ปลายปี 2558 จนถึงปัจจุบัน เพื่อต้องการให้เกิดการลดใช้พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจต่อการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงที่มีฉลากเบอร์ 5 กำกับ และเริ่มต้นส่งเสริมที่อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า 2 ประเภทคือ หลอดไฟ LED ฉลากเบอร์ 5 ที่ช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ถึง 85% (เมื่อเปรียบเทียบกับหลอดไส้ขนาดเท่ากัน) อายุการใช้งานนานกว่า 15,000 ชั่วโมง และเครื่องปรับอากาศ ฉลากเบอร์ 5 ที่ผ่านการทดสอบแบบ SEER ประหยัดไฟฟ้าได้ถึง 30%      (เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องปรับอากาศแบบ Fixed Speed)

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว จึงได้เกิดความร่วมมือขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งของแคมเปญโดยภาครัฐและภาคเอกชนผู้จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมมือกันสนับสนุนและกระตุ้นให้ประชาชนเกิดแรงจูงใจในการตัดสินใจเลือกซื้อหลอดไฟ LED และเครื่องปรับอากาศ ที่มีฉลากประหยัดพลังงานเบอร์ 5 โดยมีห้างร้านเข้าร่วม 10 บริษัท รวมสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศประมาณ 659 แห่ง ประกอบด้วย 1. บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด  (เพาเวอร์มอลล์) 2. บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด 3. บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (เทสโก้ โลตัส) 4. บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) 5. บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) 6. บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) 7. บริษัท เมกา โฮม    เซ็นเตอร์ จำกัด 8. บริษัท ตลาด ดอท คอม จำกัด ซึ่งเป็นร้านค้าออนไลน์มีช่องทางจำหน่ายสินค้ารูปแบบใหม่ที่กำลังเป็นกระแสนิยม 9. บริษัท เมธีกุลวิศวกรรม จำกัด และ10. บริษัท สรรพสินค้า ตั้งฮั่วเส็ง จำกัด

กระทรวงพลังงานรณรงค์ให้ผู้บริโภคเลือกซื้ออุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จะช่วยประหยัดพลังงานและประหยัดค่าใช้จ่าย  โดยดูจากฉลากเบอร์ 5 ซึ่งปัจจุบันมี 2 ประเภท คือ 1) ฉลากประสิทธิภาพสูงเบอร์ 5 ที่แสดงค่าประสิทธิภาพสำหรับผลิตภัณฑ์ ซึ่งค่าประสิทธิภาพนี้ได้จากการทดสอบจริงตามมาตรฐานที่กำหนดของแต่ละผลิตภัณฑ์ที่เป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เช่น กระจก เตาแก๊ส  ฉนวนใยแก้ว ซึ่งปัจจุบันกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ส่งเสริมให้ติดตลาดประสิทธิภาพสูงรวม 8 ผลิตภัณฑ์ ในปี 2559 จะเพิ่มอีก 3 ผลิตภัณฑ์ และตั้งเป้าหมายติดฉลากประสิทธิภาพสูงได้ 5 ล้านใบ จาก 11 ผลิตภัณฑ์

2) ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์รับรองความประหยัดและประสิทธิภาพสูงของอุปกรณ์ไฟฟ้าซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง เช่น เครื่องปรับอากาศ หลอดไฟ LED ตู้เย็น พัดลม หม้อหุงข้าว ซึ่งปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ติดฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 รวม 26 ผลิตภัณฑ์ และในปี 2559 จะเพิ่มขึ้นอีก 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมตั้งเป้าหมายติดฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ได้สูงถึง 22 ล้านใบ จาก 29 ผลิตภัณฑ์

“ปี 2559 กระทรวงพลังงานคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศจะเพิ่มขึ้น 3.5% และประมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือพีคไฟฟ้าจะอยู่ที่ 29,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา เหตุผลจากสภาพภูมิอากาศที่อุณหภูมิจะร้อนมาก และร้อนนานตามการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา แต่ขณะที่ความต้องการใช้สูงขึ้นแต่ด้านการจัดหาไฟฟ้ามาใช้อย่างเพียงพอนั้นเริ่มดำเนินการได้ยากยิ่งขึ้น เกิดกระแสต่อต้านโรงไฟฟ้าต่างๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การประหยัดพลังงานจึงเป็นแนวทางสำคัญที่ต้องเร่งรณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ง่ายและทำได้ทันที และจะส่งผลให้เกิดการประหยัดพลังงานในภาพรวมได้อย่างเป็นรูปธรรม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในท้ายที่สุด