โลกลุ้น! สหรัฐฯ เลือกตั้งมิดเทอม หวั่น 'เดโมแครต' ทวงคืนเสียงข้างมาก ขับเคลื่อนกระบวนการถอดถอน 'ทรัมป์'

06 พ.ย. 2561 | 10:35 น.
การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 6 พ.ย. นี้ ได้รับความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากผลการเลือกตั้งจะกลายมาเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจด้านนโยบายที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การตัดสินใจของภาคธุรกิจ รวมถึงความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นพบว่า มีโอกาสสูงที่ "พรรคเดโมแครต" ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน อาจจะสามารถกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่ "พรรครีพับลิกัน" ของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" อาจจะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาเช่นเดิม ซึ่งหากพรรคเดโมแครตครองสภาผู้แทนราษฎร อาจจะสร้างความตื่นตระหนกต่อตลาดหุ้น อันเป็นผลจากความวิตกเกี่ยวกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งรวมถึงการไต่สวนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคณะบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ สถานการณ์ดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และทำให้นักลงทุนหันมาสร้างแรงซื้อในตลาดทองคำเพื่อความมั่นใจมากกว่า

usballot_0511

การเลือกตั้งครั้งนี้ หมายถึง 435 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร และ 35 ที่นั่ง (จากทั้งหมด 100 ที่นั่ง) ในวุฒิสภา ชัยชนะของพรรคเดโมแครตจะหมายถึงการทำงานที่ยากขึ้นของประธานาธิบดีทรัมป์ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของการบริหารประเทศ

นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชนะเลือกตั้งทั่วประเทศเมื่อปลายปี 2559 ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พีดีดขึ้นไปแล้วมากกว่า 27% ซึ่งนับว่าเป็นปฏิกริยาที่ดีมากของตลาดหุ้นที่ตอบรับชัยชนะของผู้เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดี และถือว่าดีกว่าด้วยเมื่อเทียบกับช่วงหลังรับตำแหน่งของผู้นำสหรัฐฯ คนก่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็น ประธานาธิบดี "บิล คลินตัน", "โรนัลด์ เรแกน" หรือ "จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช" ส่วนสมัยที่ประธานาธิบดี "บารัก โอบามา" เข้ารับตำแหน่งนั้น ตัวเลชดัชนีเอสแอนด์พีดีดสูงกว่านี้มาก แต่นั่นก็เป็นเพราะสหรัฐฯ กำลังก้าวออกจากวิกฤติซับไพรม์ที่ทำให้ตลาดหุ้นทรุดหนักในช่วงก่อนหน้านั้น

 

[caption id="attachment_343311" align="aligncenter" width="503"] ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์[/caption]

สำหรับปีนี้ ตลาดหุ้นโลกค่อนข้างแผ่วลงในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา แต่หากผลเลือกตั้งออกมาว่า พรรครีพับลิกันยังสามารถครองเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภา ก็เชื่อว่าแรงซื้อจะหวนกลับมาอีกครั้ง เพราะการมีเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภา จะทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถคงไว้ซึ่งนโยบายที่เป็นมิตรต่อตลาดหุ้น (เช่น การปรับลดภาษีเงินได้ส่วนบุคคลและนิติบุคคล) และยังมีความเป็นไปได้อีกด้วยว่า เขาอาจจะลดท่าทีเชิงปฏิปักษ์ต่อจีน ซึ่งจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นในภาพรวม ส่วนกรณีที่พรรครีพับลิกันสูญเสียอำนาจให้กับเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร ก็คาดว่าผลต่อตลาดหุ้นจะเป็นกลาง ๆ และอาจผลักดันให้ทรัมป์เร่งเจรจาหาข้อตกลงกับจีนเร็วขึ้น นักวิเคราะห์ยังมองว่า โอกาสที่รีพับลิกันจะแพ้ในทั้ง 2 สภา มีความเป็นไปได้เพียงราว ๆ 10% แต่หากเกิดขึ้นจริง ก็มีโอกาสที่จะฉุดให้ดัชนีตลาดตกวูบลง เนื่องจากอำนาจของประธานาธิบดีในการนำเสนอนโยบายต่าง ๆ ผ่านสภาจะลดลงมาก และทรัมป์ก็อาจหันไปไล่บี้จีนหนักขึ้น


midterm-elections-1

สำหรับนโยบายที่คาดว่าจะเป็นปัจจัยตัดสินใจสำหรับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้ คือ ประเด็นเกี่ยวกับประกันสุขภาพ การค้าระหว่างประเทศ และกฎระเบียบคนเข้าเมือง นักวิเคราะห์ของธนาคารดอยช์แบงก์คาดการณ์ว่า ชัยชนะของพรรครีพับลิกันในศึกเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ในทั้ง 2 สภา จะส่งผลดีต่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้น และหากรัฐบาลรีพับลิกันเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปอีก ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น ส่วนความวิตกที่ว่า หากเดโมแครตกลับมาครองเสียงข้างมากจะทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดนั้น ดอยช์แบงก์ยังไม่ปักใจเชื่อมากนักว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ตั้งข้อสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้ที่ทั้ง 2 พรรค จะหันมาทำงานร่วมกันมากขึ้นในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ให้เกิดขึ้น

เอ็ดเวิร์ด ปาร์ค ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุน บริษัท บรุค แมคโดนัลด์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาการลงทุนจากประเทศอังกฤษ ให้ความเห็นว่า นักลงทุนไม่ควรมีปฏิกริยากับการเลือกตั้งครั้งนี้มากเกินไป เพราะที่ผ่านมา การบริหารงานของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" นั้น ขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ผ่านการออกคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดี หรือ Executive Order มากกว่าผ่านทางกฎหมายที่ต้องใช้กระบวนการทางสภา ดังนั้น ผลเลือกตั้งออกมาอย่างไร นักลงทุนก็ไม่ควรอ่อนไหวตามมากเกินไป เว้นเสียแต่ว่า พรรคเดโมแครตจะได้เสียงข้างมากเด็ดขาด จนทำให้มีความเป็นไปได้มาก ๆ ว่าจะมีการเสนอให้สภานำกระบวนการ Presidential Impeachment มาใช้ถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง

595959859

090861-1927-9-335x503