"ฐากร" หวั่น 5G ทำคนไทยตกงาน
"ฐากร" เผย 5G มาแน่ หวั่นทำคนไทยตกงานสูงถึง 10-30% ชี้ภาครัฐต้องเร่งหาแนวทางพัฒนาทักษะแรงงานคน พร้อมเร่งจัดหางบดูแลช่วงเปลี่ยนผ่าน
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีการร่วมประชุมองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ณ ประเทศฝรั่งเศส พบว่าปัญหาที่น่ากังวลสำหรับเรื่องของ 5G คือ เมื่อมีเทคโนโลยีอย่างไอโอทีหรือเอไอเข้ามาจะทำให้ คนตกงานมากขึ้นเฉลี่ย 10-30% ถึงแม้จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ก็อาจจะไม่สามารถเพิ่มองค์ความรู้ของคนได้เพียงพอ ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ไข รวมถึงรับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลคนที่ตกงาน
ทั้งนี้กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด 3 กลุ่ม คือ 1. ภาคการผลิต 2. การเงินธนาคาร 3. แพทย์และสาธารณสุข ซึ่ง 5G นั้นมีข้อดีในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต ลดต้นทุน แต่ในหลายประเทศอาจต้องคำนึงภาคการผลิตที่มีการใช้แรงงานคนสูงถึง 30-40%
อย่างไรก็ตามทั่วโลกคาดว่าจะมี 5G เกิดขึ้นในปี 2563 และสำหรับในประเทศไทยนั้น ต้องศึกษาผลกระทบจากทางยุโรปและอเมริกา ว่ามีการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาทักษะของคนกลุ่มนี้ให้สามารถทำงานในด้านอื่นทดแทนได้
"โจทย์หนักของรัฐบาลคือต้องหาแนวทางในการแก้ไข ซึ่งต้องมีแผนพัฒนาหรือแผนยุทธศาสตร์ชาติเกิดขึ้น"
ด้านนายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการกสทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีการใช้หุ่นยนต์มากที่สุด และมีแผนการรับมือโดยการเก็บภาษีจากผู้ประกอบการที่มีการใช้หุ่นยนต์เพิ่มขึ้น เพื่อนำรายได้ส่วนนี้มารองรับคนที่ตกงานในช่วงเปลี่ยนผ่านหรือช่วงรีเทรนเพิ่มทักษะใหม่ๆ
"ท้ายที่สุดก็จะเกิดงานใหม่ขึ้นมา ในอนาคต ทางเดียวคือรัฐต้องเข้ามาแทรกแซงและเทรนคนให้มีความรู้เพิ่มขึ้น"
ขณะที่เรื่องคลื่นความถี่ต้องราคาถูกลงแต่ต้องมี คลื่นพร้อมประมูลและจัดการประมูลหลายคลื่นพร้อมกัน โดยราคาเริ่มต้นจะอ้างอิงจากมูลค่าการประมูลคลื่นของทั่วโลกและนำมาปรับใช้ในไทย เพราะคลื่นเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ควรมีราคาสูง
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีการร่วมประชุมองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ณ ประเทศฝรั่งเศส พบว่าปัญหาที่น่ากังวลสำหรับเรื่องของ 5G คือ เมื่อมีเทคโนโลยีอย่างไอโอทีหรือเอไอเข้ามาจะทำให้ คนตกงานมากขึ้นเฉลี่ย 10-30% ถึงแม้จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ก็อาจจะไม่สามารถเพิ่มองค์ความรู้ของคนได้เพียงพอ ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ไข รวมถึงรับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลคนที่ตกงาน
ทั้งนี้กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด 3 กลุ่ม คือ 1. ภาคการผลิต 2. การเงินธนาคาร 3. แพทย์และสาธารณสุข ซึ่ง 5G นั้นมีข้อดีในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต ลดต้นทุน แต่ในหลายประเทศอาจต้องคำนึงภาคการผลิตที่มีการใช้แรงงานคนสูงถึง 30-40%
อย่างไรก็ตามทั่วโลกคาดว่าจะมี 5G เกิดขึ้นในปี 2563 และสำหรับในประเทศไทยนั้น ต้องศึกษาผลกระทบจากทางยุโรปและอเมริกา ว่ามีการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาทักษะของคนกลุ่มนี้ให้สามารถทำงานในด้านอื่นทดแทนได้
"โจทย์หนักของรัฐบาลคือต้องหาแนวทางในการแก้ไข ซึ่งต้องมีแผนพัฒนาหรือแผนยุทธศาสตร์ชาติเกิดขึ้น"
ด้านนายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการกสทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีการใช้หุ่นยนต์มากที่สุด และมีแผนการรับมือโดยการเก็บภาษีจากผู้ประกอบการที่มีการใช้หุ่นยนต์เพิ่มขึ้น เพื่อนำรายได้ส่วนนี้มารองรับคนที่ตกงานในช่วงเปลี่ยนผ่านหรือช่วงรีเทรนเพิ่มทักษะใหม่ๆ
"ท้ายที่สุดก็จะเกิดงานใหม่ขึ้นมา ในอนาคต ทางเดียวคือรัฐต้องเข้ามาแทรกแซงและเทรนคนให้มีความรู้เพิ่มขึ้น"
ขณะที่เรื่องคลื่นความถี่ต้องราคาถูกลงแต่ต้องมี คลื่นพร้อมประมูลและจัดการประมูลหลายคลื่นพร้อมกัน โดยราคาเริ่มต้นจะอ้างอิงจากมูลค่าการประมูลคลื่นของทั่วโลกและนำมาปรับใช้ในไทย เพราะคลื่นเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ควรมีราคาสูง
