อัยการคดีพิเศษยัน! สั่งฟ้อง "มานพ ทิวารี" ฟอกเงินกรุงไทย 31 ต.ค. นี้แน่นอน

16 ต.ค. 2561 | 08:59 น.
อัยการคดีพิเศษ ระบุ มีคำสั่งฟ้อง "มานพ ทิวารี" บิดา "น.ต.ศิธา" ฟอกเงินกรุงไทย 31 ต.ค. นี้แน่นอน ขณะที่ คดีเช็ค 10 ล้าน ของ "พานทองแท้" ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดสอบคำให้การจำเลย 5 พ.ย. นี้


นานพ

กรณีเมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษได้มีการยื่นฟ้อง นายพานทองแท้ ชินวัตร ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานสมคบและร่วมกันฟอกเงิน ที่มีการรับเช็คจำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งจะฟ้องเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปี 2542 มาตรา 5, 9 และ 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฉบับที่ 5 ปี 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 รวมถึง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 6 ปี 2526 มาตรา 4 ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ธนาคารกรุงไทย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2561 นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้แถลงเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2561 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับพนักงานอัยการคดีพิเศษได้มีคำสั่งฟ้อง นางกาญนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัว คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยา นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาที่ 2 กับนายวันชัย สามีผู้ต้องหาที่ 3 ในความผิดฐานสมคบและร่วมกันฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปี 2542 มาตรา 5, 9 และ 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฉบับที่ 5 ปี 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 รวมถึง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 6 ปี 2526 มาตรา 4

และมีคำสั่งไม่สั่งฟ้อง นางเกศินี จิปิภพ ผู้ต้องหาที่ 1 และนายพานทองแท้ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน กรณีเช็คจำนวน 26 ล้านบาท ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น คณะทำงานของพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ยังได้มีความเห็นและคำสั่งฟ้อง นายมานพ ทิวารี บิดาของ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและอดีตกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ผู้ต้องหาข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินไปด้วยเช่นกัน

แต่ในวันที่ 10 ต.ค. 2561 ที่เป็นวันนัดฟังคำสั่ง นายมานพ ทิวารี, นางกาญจนาภา และนายวันชัย หงษ์เหิน ผู้ต้องหา ไม่มาพบพนักงานอัยการตามนัด พนักงานอัยการจึงไม่สามารถฟ้องผู้ต้องหาในวันดังกล่าวได้

พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 สำนักงานคดีพิเศษ จึงแจ้งให้ นายมานพ ทิวารี ผู้ต้องหา, นางกาญจนาภา และนายวันชัย มาพบพนักงานอัยการเพื่อฟ้องต่อศาลอาญาทุจริตฯ ในวันที่ 31 ต.ค. 2561 เวลา 10.00 น.


พานทองแท้

นายธรัมพ์ ได้อธิบายอีกว่า คดีดังกล่าว สืบเนื่องมาจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับกรณีมีการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยโดยมิชอบ และมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก นายวิชัย กฤษดาธานนท์ กับพวก และผู้บริหารธนาคารกรุงไทยจำนวนหลายคน ซึ่งนายวิชัยทำธุรกรรมกับผู้รับโอนเงินหลายราย เกี่ยวกับคดีการสั่งฟ้องกลุ่มผู้ต้องหาในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินดังกล่าว ได้แยกผู้ต้องหาออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

1.กลุ่มผู้โอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดคดีร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2560 พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ส่งสำนวนการสอบสวนกล่าวหา นายวิชัย กฤษดาธานนท์ กับพวก รวม 13 คน กระทำความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน เกี่ยวกับการโอนและรับโอนธุรกรรมทางการเงินที่ได้จากการอนุมัติสินเชื่อธนาคารกรุงไทยโดยมิชอบ เป็นจำนวนหลายรายการ ซึ่งพนักงานอัยการสั่งฟ้องนายวิชัย กับพวก ผู้โอน และฟ้องต่อศาลแล้ว โดยผู้ต้องหาในกลุ่มนี้มี นายมานพ ทิวารี เป็นผู้ต้องหารวมอยู่ด้วย แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงทางคดี นายมานพ ทิวารี อยู่ในกลุ่มผู้รับโอน พนักงานอัยการจึงมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาสั่งของผู้ต้องหารายนี้ไปพร้อมกับกลุ่มผู้รับโอน

และ 2 กลุ่มผู้รับโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดต่อมาวันที่ 25 ก.ค. 2561 พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวหา นางเกศินี จิปิภพ ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ได้แก่ นางเกศินี จิปิภพ ผู้ต้องหาที่ 1, นางกาญจนภา หงษ์เหิน ผู้ต้องหาที่ 2, นายวันชัย หงษ์เหิน ผู้ต้องหาที่ 3 และนายพานทองแท้ ชินวัตร ผู้ต้องหาที่ 4

และนายมานพ ทิวารี ผู้ต้องหา ที่แยกมาจากกลุ่มผู้โอน โดยผู้ต้องหาทุกคนถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน เกี่ยวกับการรับโอนธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวพันกับคดีพิเศษดังกล่าวข้างต้น จนอัยการได้มีคำสั่งในคดีดังกล่าว

รายงานข่าวระบุว่า นายมานพนั้นเข้าไปเกี่ยวพันในคดีนี้ เพราะจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น พบว่า นายมานพ ทิวารี บิดาของ น.ต.ศิธา ทิวารี ได้นำเช็คของ บริษัท แกรนด์ แซทเทิลไลท์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของจำเลยที่ 20 จำนวน 154,763,025 บาท รวมกับเงินที่มีการโอนเข้าบัญชีของนายมานพก่อนหน้านี้ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 172,763,025 บาท ไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนของจำเลยที่ 20 บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด

นายมานพเคยชี้แจงเป็นหนังสือต่อคณะอนุกรรมการ คตส. ว่า จำเลยที่ 25 ได้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของจำเลยที่ 20 จำนวน 11.5 ล้านหุ้น เป็นเงิน 172,763,025 บาท แต่ตนมีเงินไม่พอ จึงขอยืมเงินจำเลยที่ 25 เพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว โดยมีเงื่อนไขการกู้ยืมว่า เมื่อครบกำหนดชระเงินกู้ ผู้กู้สามารถเลือกชำระคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย หรือ เลือกใช้สิทธิขายคืนหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมดเป็นการปลดภาระหนี้

แต่ตุลาการศาลฎีกาในคดีนี้เคยลงความเห็นว่า เงื่อนไขการกู้ยืมที่นายมานพมีแต่ได้โดยไม่ต้องรับภาระความเสี่ยงใด ๆ ผิดปกติวิสัยของการลงทุนโดยทั่วไป

สำหรับคดีเช็ค 10 ล้านบาท ของนายพานทองแท้ที่ได้ยื่นฟ้องไปแล้วนั้น มีรายงานว่า ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 5 พ.ย. 2561 เวลา 10.00 น.

e-book-1-503x62