"2 นักวิชาการ" ห่วงการเมืองไทยยังเป็น "ประชาธิปไตยในแบบไทย ๆ"
"2 นักวิชาการ" มองการเมืองไทยยังไม่ไปสู่ประชาธิปไตยเต็มที่ ลั่น! ยังเป็นประชาธิปไตยในแบบไทย ๆ ร้องอย่ามายึดอำนาจส่วนใหญ่อยู่ในส่วนกลางแบบรวมศูนย์ เพราะจะยิ่งทำให้ไม่เข้าใจความต้องการของคนท้องถิ่น
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง มองการเมืองไทยในขณะนี้ว่า กำลังไปสู่การเลือกตั้ง แต่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มที่ โดยมี 2 เหตุผลหลัก คือ 1.ใน 5 ปีแรก เราจะเห็นได้ว่า ส.ว. 250 คน จะมีวิธีการเข้ามาที่แตกต่าง แต่ในที่สุดก็ถูกคัดเลือกโดย คสช. ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริง ส.ว. ต้องมาจากการเลือกตั้ง 2.ในช่วง 5 ปีแรก ส.ว. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จะมีสิทธิ์คัดเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. อีก 500 คน ซึ่งความจริงแล้ว ต้องมาจากเสียงข้างมากของ ส.ส. ฉะนั้นจึงยังไม่เข้าข่ายประชาธิปไตยเต็มที่ แต่สุดท้ายแล้วก็จะมีการยกเลิกมาตรา 44 ภายหลังการเลือกตั้ง และการเมืองไทยจากระบบปฎิวัติรัฐประหารก็ไปสู่ประชาธิปไตยในแบบไทย ๆ คือ ประชาธิปไตยไม่เต็มที่
อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อว่า ภายหลังการเลือกตั้ง นโยบายด้านเศรษฐกิจจะไม่เปลี่ยนแปลงมาก เพราะรัฐบาลใหม่มีความเป็นไปได้ที่คนบริหารปัจจุบันมีโอกาสมีอำนาจเข้ามาบริหาร เพราะมีกุญแจหลายอย่างเป็นตัวช่วยอยู่ โดยการบริหารด้านเศรษฐกิจยังคงต่อเนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันต่อไป
นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า โดยส่วนตัวอยากให้การเมืองไทยเป็นการเมืองเปิดแบบแท้จริง แบบที่คนธรรมดาเข้าถึงได้ เหมือนเมื่อปี 2540 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ไม่มีเงิน แต่ก็เล่นการเมืองได้ เพราะประชาชนช่วยหาเสียงให้ ซึ่งในยุคจากนี้ไป ไม่คิดว่าจะมีการเมืองแบบนี้อีกแล้ว
และมองว่า มีความจำเป็นที่ต้องมีการกระจายอำนาจที่แท้จริง อย่ามายึดอำนาจส่วนใหญ่อยู่ในส่วนกลางแบบรวมศูนย์ ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะยิ่งทำให้ไม่เข้าใจความต้องการของคนท้องถิ่น ซึ่งในรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้แก้ไขเรื่องนี้ และเรื่องทางการคลังเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่วันนี้ใช้วิธีให้เงินอย่างเดียว ซึ่งตามหลักแล้วท้องถิ่นแต่ละแห่งต้องเก็บภาษีได้เอง ไม่ใช่เงินส่วนใหญ่มาจากส่วนกลาง เงินพัฒนาท้องถิ่นควรมาจากภาษีที่ดิน ภาษีรายได้ และภาษีอื่น ๆ มากกว่า
นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง มองการเมืองไทยในขณะนี้ว่า กำลังไปสู่การเลือกตั้ง แต่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มที่ โดยมี 2 เหตุผลหลัก คือ 1.ใน 5 ปีแรก เราจะเห็นได้ว่า ส.ว. 250 คน จะมีวิธีการเข้ามาที่แตกต่าง แต่ในที่สุดก็ถูกคัดเลือกโดย คสช. ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริง ส.ว. ต้องมาจากการเลือกตั้ง 2.ในช่วง 5 ปีแรก ส.ว. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จะมีสิทธิ์คัดเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. อีก 500 คน ซึ่งความจริงแล้ว ต้องมาจากเสียงข้างมากของ ส.ส. ฉะนั้นจึงยังไม่เข้าข่ายประชาธิปไตยเต็มที่ แต่สุดท้ายแล้วก็จะมีการยกเลิกมาตรา 44 ภายหลังการเลือกตั้ง และการเมืองไทยจากระบบปฎิวัติรัฐประหารก็ไปสู่ประชาธิปไตยในแบบไทย ๆ คือ ประชาธิปไตยไม่เต็มที่
อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อว่า ภายหลังการเลือกตั้ง นโยบายด้านเศรษฐกิจจะไม่เปลี่ยนแปลงมาก เพราะรัฐบาลใหม่มีความเป็นไปได้ที่คนบริหารปัจจุบันมีโอกาสมีอำนาจเข้ามาบริหาร เพราะมีกุญแจหลายอย่างเป็นตัวช่วยอยู่ โดยการบริหารด้านเศรษฐกิจยังคงต่อเนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันต่อไป
นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า โดยส่วนตัวอยากให้การเมืองไทยเป็นการเมืองเปิดแบบแท้จริง แบบที่คนธรรมดาเข้าถึงได้ เหมือนเมื่อปี 2540 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ไม่มีเงิน แต่ก็เล่นการเมืองได้ เพราะประชาชนช่วยหาเสียงให้ ซึ่งในยุคจากนี้ไป ไม่คิดว่าจะมีการเมืองแบบนี้อีกแล้ว
และมองว่า มีความจำเป็นที่ต้องมีการกระจายอำนาจที่แท้จริง อย่ามายึดอำนาจส่วนใหญ่อยู่ในส่วนกลางแบบรวมศูนย์ ถ้าเป็นแบบนี้ก็จะยิ่งทำให้ไม่เข้าใจความต้องการของคนท้องถิ่น ซึ่งในรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้แก้ไขเรื่องนี้ และเรื่องทางการคลังเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่วันนี้ใช้วิธีให้เงินอย่างเดียว ซึ่งตามหลักแล้วท้องถิ่นแต่ละแห่งต้องเก็บภาษีได้เอง ไม่ใช่เงินส่วนใหญ่มาจากส่วนกลาง เงินพัฒนาท้องถิ่นควรมาจากภาษีที่ดิน ภาษีรายได้ และภาษีอื่น ๆ มากกว่า
