"อิทธิพร"ลั่นกกต.จะไม่เป็นเครื่องมือยุบพรรคเพื่อไทย

10 ต.ค. 2561 | 08:09 น.
 

ประธาน กกต. เร่งปรับหลักเกณฑ์ตั้งพรรคใหม่ให้เสร็จภายใน 45 วัน เพื่อให้ทันการเลือกตั้ง  ยืนยัน กกต.จะไม่เป็นเครื่องมือยุบพรรคเพื่อไทย

 
อิทธิพร-1 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวถึงกรณีที่ทางสำนักงาน กกต. ได้ปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การพิจารณารับจดแจ้งตั้งพรรคการเมืองใหม่   โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 45 วันว่า พรรคที่มายื่นขอจดแจ้งจัดตั้งเป็นพรรคใหม่นั้นมีเป็นร้อย   หน้าที่ของ กกต.คือ  กลุ่มการเมือง  หรือบุคคลใดที่ยื่นขอตั้งพรรคการเมืองเราต้องทำให้มั่นใจว่าเมื่อเขาขอจดแจ้งมาแล้วกกต.ต้องจดตั้งให้เขาทันเวลา    ซึ่งเมื่อมีจำนวนหลายกลุ่มก็ต้องเอาความเท่าเทียมกันเป็นเกณฑ์มากกว่าเอาพรรคใดพรรคหนึ่ง    โดยในการปฏิรูปการเมืองนั้นเราต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด

“พรรคการเมือง  ไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าพรรคใหม่หรือพรรคเล็กพรรคใหญ่   เราก็ต้องสนับสนุนให้เขาสามารถดำเนินการ  ให้ตรงวัตถุประสงค์ของเขา ดังนั้นเมื่อเขาขอจัดตั้งพรรคมาเราก็ต้องทำให้เขามั่นใจว่าเราจะจดให้เขาเป็นพรรคการเมืองได้ และให้เขาเข้าสู่สนามการเลือกตั้งได้ แต่คงไม่ใช่เป็นการปรับเพื่อเอื้อกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งถ้าจะปรับก็ให้มีมาตรฐานเดียวกัน”นายอิทธิพรกล่าว

นายอิทธิพร กล่าวว่า กกต.ต้องเร่งพิจารณาการยื่นขอจดแจ้งตั้งพรรคให้เสร็จเร็วที่สุด  เพื่อพรรคที่จะเกิดขึ้นใหม่จะได้มีเวลาทำตามขั้นตอน   การที่เราจะใช้เวลาตามขั้นตอนจดทะเบียนพรรคตามที่เราคาดการณ์ไว้ว่า 60 วันนั้น   จึงจำเป็นปรับเวลาให้ทุกกลุ่มที่ยื่นขอตั้งพรรค  สามารถดำเนินการเพื่อเข้าสู่สนามการเลือกตั้งให้ได้  เพราะต้องการให้มีพรรคใหม่ๆเข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งครั้งนี้ให้มากที่สุด

ประวิตร

ส่วนกรณีที่  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ยืนยันว่า คสช.ไม่มีแผนยุบพรรคเพื่อไทย  และระบุเป็นหน้าที่ของ กกต.หากพรรคเพื่อไทยกระทำความผิดนั้น   นายอิทธิพร  กล่าวว่า  กกต.คงไม่ได้เป็นเครื่องมือของใครในการจะยุบพรรค   เพราะ  กกต.เองมีหน้าที่  ที่จะต้องสอดส่อง ตรวจสอบการกระทำใดๆที่จะส่งผลให้การเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรม  ดังนั้นการตรวจสอบจึงเป็นหน้าที่ของกกต. ถ้ามีใครร้องเรียน หรือเราทราบเรื่องเองก็สามารถดำเนินการได้เลย ซึ่งตามขั้นตอนต้องตรวจสอบหาข้อเท็จจริงก่อน  ว่ามีพยานหลักฐานหรือไม่ ถ้ามีพยานหลักฐานก็ดูว่าพยานนั้นจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่  ที่ผ่านมาที่ปรากฏเป็นข่าวหรือเรื่องที่เราทราบเองก็จะมีการนำเสนอเรื่องเข้ามายังสำนักงานฯ แล้วถ้ามีมูลก็จะเสนอให้  กกต.พิจารณา    ถ้าเห็นด้วยก็จะมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนต่อไป

e-book-1-503x62-7