ทุ่ม150ล้านปั้นแบรนด์ ‘จิ้มแจ่ม’ ดิ สมิธ ฟู้ดมั่นใจตลาดนํ้าจิ้มโตไม่หยุดดึงคนดังฉุดยอดขาย

21 ก.พ. 2559 | 10:00 น.
ดิ สมิธ ฟู้ด ลุยตลาดน้ำจิ้ม ทุ่ม 150 ล้านปั้นแบรนด์ “จิ้มแจ่ม” ดึง “แจ๊ส-แจง” เป็นพรีเซนเตอร์ฉุดยอดขาย 300 ล้าน หวังส่วนแบ่งตลาด 30% ขณะที่ผลประกอบการทั้งบริษัททะลุพันล้าน เติบโต 10% หลังออร์เดอร์เดือนแรกได้ 10 ล้านตัน จากก่อนหน้าต้องสะสมยอดขายถึง 6 เดือน เหตุอาหารโลกเริ่มขาดแคลน

[caption id="attachment_32350" align="aligncenter" width="503"] ข้อมูลตลาดเครื่องปรุงรถ ปี 2558 ข้อมูลตลาดเครื่องปรุงรถ ปี 2558[/caption]

นางจรีลักษณ์ จันทร์สุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ สมิธ ฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำจิ้ม ซอสพริก และเครื่องปรุงรส เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัททุ่มงบประมาณ 150 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวน้ำจิ้มแบรนด์จิ้มแจ่ม แบ่งเป็นงบประมาณด้านการตลาดและสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์กว่า 100 ล้านบาท ผ่านกลยุทธ์การตลาดแบบ 360 องศา ทั้งการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ทางช่องทางการสื่อสารต่างๆ โดยมีพรีเซนเตอร์ แจ๊ส ชวนชื่น และภรรยา แจง-ปุณณาสา เป็นตัวแทนของคู่รักที่เป็นคนรุ่นใหม่สะท้อนคาแรกเตอร์สนุกสนาน เพื่อกระตุ้นการบริโภคเชิงรุก

นอกจากนี้เตรียมใช้สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างการเข้าถึง จดจำแบรนด์ และกระตุ้นการรับรู้เพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง ทั้งเตรียมกระจายสินค้าไปตามช่องทางหลัก อาทิ ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น แฟมิลี่ มาร์ท โมเดิร์นเทรด เทสโก้ โลตัส กรูเม่ต์ ท็อปส์ และแม็คโคร โดยจะเริ่มวางจำหน่ายสินค้าช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ส่วนงบประมาณอีก 50 ล้านบาทเป็นการเพิ่มไลน์การผลิตใหม่

ส่วนกลุ่มลูกค้าหลักสำหรับแบรนด์จิ้มแจ่ม สัดส่วน 50% มาจากกลุ่มธุรกิจร้านอาหารต่างๆ อาทิ เฝอ 54 และอีก 50% จะมาจากกลุ่มลูกค้าทั่วไป นอกจากนี้เตรียมขยายตลาดต่างประเทศในอนาคตด้วย โดยปีแรกคาดว่าจะมียอดขาย 300 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท ในปี 2560 เนื่องจากมีแผนการผลิตและออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีกหลายรายการ จากปัจจุบันมีสินค้า 5 รายการ ได้แก่ น้ำจิ้มไก่รสกลมกล่อม น้ำจิ้มไก่รสลิ้นจี่ ซอสพริกรสแซบ ซอสพริกรสแซบเว่อร์ และน้ำจิ้มสุกี้สูตรต้นตำรับ
“ที่ผ่านมาบริษัทรับจ้างผลิตและขายสินค้าให้กับร้านอาหารต่างๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับดีมียอดขายต่อเนื่อง แต่ต้องการขยายตลาดเพิ่มมากขึ้น รวมถึงตลาดร้านอาหารเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงสร้างแบรนด์น้ำจิ้มออกมาทำตลาด รองรับความต้องการของผู้บริโภคทั่วไปด้วย ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีและมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 30% ในปีแรก ในกลุ่มสินค้าน้ำจิ้มและซอสพริกที่มีมูลค่าตลาดกว่า 1 พันล้านบาท”

ด้านภาพรวมธุรกิจของบริษัทในปีที่ผ่านมามียอดขายรวมกว่า 1 พันล้านบาท เติบโตในอัตรา 20% เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีอัตราการขยายตัวสูง ปัจจุบันมีสัดส่วนส่งออกกว่า 80% ในตลาดหลักสำคัญทั้งยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย ซึ่งสินค้าส่งออกมี 2 รูปแบบคือ 1 วัตถุดิบสำหรับการประกอบการสัดส่วน 50% 2.ซอสสำเร็จรูป ที่รับจ้างผลิตภายใต้แบรนด์ของลูกค้าสัดส่วน 50% และส่วนอีก 20% เป็นสินค้าที่จำหน่ายภายในประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจร้านอาหารเชนชั้นนำทั่วประเทศ

นางจรีลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มการเติบโตของบริษัทในปีนี้ คาดว่าจะมีผลประกอบการเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% เนื่องจากมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เฉพาะเดือนมกราคมที่ผ่านมามียอดขายแล้ว 10 ล้านตัน จากปกติจะต้องใช้เวลา 6 เดือนในการขายสินค้าปริมาณดังกล่าว ซึ่งปีนี้พบว่าวัตถุดิบในการประกอบอาหารของตลาดโลกมีแนวโน้มขาดแคลน ประกอบกับวัตถุดิบประกอบอาหารของไทยและในภูมิภาคอาเซียนได้รับการตอบรับที่ดี มีความต้องการสูง ทำให้บริษัทมียอดขายเพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบันตลาดน้ำจิ้มและซอสพริกในไทยยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยหลักมาจากกลุ่มผู้บริโภคคนไทยส่วนใหญ่นิยมรับประทานอาหารรสชาติจัดจ้าน ส่งผลให้ตลาดน้ำจิ้มและซอสพริกเติบโตขึ้นทุกปี ยูโรมอนิเตอร์คาดการณ์ว่าตลาดเครื่องปรุงรสในประเทศไทยปี 2558 มีมูลค่ากว่า 3.68 หมื่นล้านบาท เฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทซอสปรุงรสบนโต๊ะอาหารมีมูลค่ากว่า 1.80 หมื่นล้านบาท โดยตลาดของซอสพริกมีมูลค่า 403.7 ล้านบาท ส่วนเครื่องปรุงรสอื่นๆ มีมูลค่า 656.4 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าปีนี้ตลาดยังคงเติบโตต่อเนื่องในอัตรา 10%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,133 วันที่ 21 - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559