“เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น” ทรานส์ฟอร์มโรงภาพยนตร์ จัดระเบียบหลังบ้าน ปรับแอพ-ออนไลน์ รับกระแสสังคมไร้เงินสด มั่นใจตอบรับไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคดิจิตอล ขณะที่หนังฟอร์มยักษ์โกยรายได้พุ่ง มั่นใจสิ้นปีกวาดยอดรายได้ทะลุ 5,000 ล้านบาท
นายสุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะมีรายได้รวม 5,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 20% กำไร 337 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 86% โดยมีปัจจัยมาจากภาพยนตร์ที่เข้าฉาย ซึ่งปีนี้มีภาพยนตร์ Blockbuster ที่ทำรายได้สูงหลายเรื่อง อาทิ Black Panther, Avengers: Infinity War, Deadpool 2, น้อง.พี่.ที่รัก รวมถึง Jurassic World: Fallen Kingdom และในครึ่งปีหลังยังมีภาพยนตร์ดังที่รอคิวออกฉาย ไม่ว่าจะเป็น Ant-Man and the Wasp, Mission: Impossible - Fallout ฯลฯ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถทำรายได้และปลุกให้ธุรกิจภาพยนตร์คึกคักขึ้น
[caption id="attachment_288908" align="aligncenter" width="335"]
นายสุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์[/caption]
เอส เอฟ มุ่งขยายรายได้ด้วยการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ จึงพัฒนาขีดความสามารถในการเข้าถึงลูกค้าโดยพัฒนาแบนด์วิดธ์ของระบบหลังบ้านและปรับปรุงแอพพลิเคชัน SF Cinema และเว็บไซต์เพื่อการบริการ Online Ticketing ให้มีความสะดวก รวดเร็ว ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มพันธมิตร เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายบัตรให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น KBANK, SCB และ AIRPAY ซึ่งลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อบัตรชมภาพยนตร์ได้ล่วงหน้าก่อนที่จะเดินทางมาถึงหน้าโรงภาพยนตร์ นอกจากนี้ยังเพิ่มเทคโนโลยีการขายบัตรชมภาพยนตร์ผ่านตู้ Kiosk ซึ่งได้แยก Payment Gateway ของธนาคารออมสินออกจากหน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋วปกติ ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อบัตรชมภาพยนตร์รวดเร็วและสะดวกสบายขึ้น ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคอหนังยุคดิจิตอล
ทั้งนี้เพื่อตอบรับกระแสสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) บริษัทร่วมกับพันธมิตรทำสิทธิพิเศษและโปรโมชันต่างๆ สำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการชำระผ่านบัตรเครดิตและเดบิต รวมถึงบัตรสมาชิก เอส เอฟ มูฟวี่ คลับ คาร์ด ซึ่งเป็นบัตรแทนเงินสดสำหรับซื้อบัตรชมภาพยนตร์ ป๊อปคอร์นและเครื่องดื่ม และยังสามารถร่วมแคมเปญต่างๆ ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีสมาชิกราว 9 แสนราย และทำรายได้กว่า 70 ล้านบาท
ด้านแผนลงทุนในปีนี้เอส เอฟใช้งบลงทุน 500 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 500 ล้านบาท สำหรับการขยายโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้น 6 แห่ง โดยเปิดไปแล้ว 1 แห่ง ได้แก่ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ ซีเนม่า สาขาท็อปส์ พลาซ่า พะเยา ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายเพิ่มอีก 5 แห่ง ได้แก่ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ชลบุรี, บิ๊กซี สระแก้ว, บิ๊กซี สมุทรสงคราม, บิ๊กซี เพชรเกษม และเทอร์มินอล 21 พัทยา และปรับปรุงโรงภาพยนตร์สาขาเดิม เพื่อให้มีความทันสมัย และอีก 100 ล้านบาทสำหรับทำกิจกรรมการตลาด
นายสุวัฒน์ กล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทจะเปิดตัวโรงภาพยนตร์ Zigma CineStadium ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์แห่งอนาคต ซึ่งพัฒนาเป็น Premium Screen เพิ่มขึ้นจาก First Class MX4D เพื่อสร้างความบันเทิงในทุกมิติ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การชมภาพยนตร์ของลูกค้าทุกกลุ่ม ซึ่งโรงภาพยนตร์แห่งนี้มีจุดเด่นที่ Giant Screen จอภาพยนตร์ขนาดใหญ่รองรับการฉายด้วยเครื่องฉายภาพยนตร์ Digital 4K Laser Technology ซึ่งให้ภาพคมชัดสูงสุด ระบบเสียง Dolby ATMOS ที่นั่งกว้างขวางแบบ Super Stadium ด้วย
“หลังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่าแผนการเข้าสู่การเป็นบริษัทมหาชนอย่างสมบูรณ์ จะมีขึ้นในปี 2562 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบทานเพื่อเตรียมพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ”
สำหรับภาพรวมของบริษัทในปีที่ผ่านมา มีรายได้รวม 4,244 ล้านบาทสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีกำไรสุทธิ 181 ล้านบาทเติบโตกว่า 14% โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากโรงภาพยนตร์ 2,683 ล้านบาท เติบโต 3% รายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่ม 775 ล้านบาท เติบโต 12% รายได้งานธุรกิจสื่อโฆษณา 430 ล้านบาท เติบโต 28% และส่วนงานอื่นๆ 356 ล้านบาท เติบโต 4%
ปัจจุบันโรงภาพยนตร์ในเครือเอส เอฟ มีทั้งหมด 57 แห่งจำนวน 371 โรงภาพยนตร์ รวมกว่า 81,300 ที่นั่งแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 20 แห่งจำนวน 166 โรงภาพยนตร์ และต่างจังหวัด 37 แห่งจำนวน 205 โรงภาพยนตร์
หน้า 34 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,374 วันที่ 14-16 มิ.ย. 2561