‘บลจ.ซีไอเอ็มบี’ ลุยลงทุนจีน แนะหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ราคาถูก ผลตอบแทนสูง

23 มิ.ย. 2561 | 11:49 น.
บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลฯเตรียมออกกองทุนใหม่ ลงทุนในตลาดหุ้น A-share ของจีน หลังตลาดโตต่อเนื่อง จนถูกรวมเข้าไปในดัชนี MSCI รับตลาดตราสารหนี้ผันผวน จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ไม่มาก

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัดเปิดเผยว่า เร็วๆนี้ บริษัทมีแผนจะออกกองทุนเพื่อลงทุนในตลาดหุ้น A share ของจีน เพราะตลาดหุ้น A share เติบโตขึ้นมาก หลังจากที่รัฐบาลจีนเปิดตลาดให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนได้ จนล่าสุดสามารถเข้าไปอยู่ในการคำนวณของดัชนี MSCI ได้เมื่อปีที่แล้ว แต่เริ่มมีผลในทางปฏิบัติไม่นานนี้

[caption id="attachment_292436" align="aligncenter" width="503"] วิน พรหมแพทย์ วิน พรหมแพทย์[/caption]

“เดือนตุลาคมปีที่แล้ว เราออกกองทุนเพื่อลงทุนในหุ้นเวียดนาม ตอบรับดีมาก เพิ่มทุนไปแล้ว 2 ครั้ง จากขนาดกองทุน 1-1.5 พันล้านบาท เป็นกว่า 2 พันล้านบาท และกำลังจะเพิ่มทุนอีกเป็นครั้งที่ 3 เร็วๆนี้ เพราะการจะออกกองทุนใหม่ ทำได้ยากมากขึ้น เพราะในอุตสาหกรรมมี กว่า 1 พันกองทุนและครบเกือบทุกประเภทแล้ว ส่วนใหญ่จึงเป็นการนำกองทุนเก่าๆ มาเพิ่มทุน แต่ที่ลงทุนในจีนเรายังไม่มี และอาจจะมีกองทุนเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotic) ด้วย”


ตลาดหุ้นเวียดนามและจีนจะคล้ายตลาดหุ้นไทยมากคือ หุ้นขนาดใหญ่จะเป็นตัวลากดัชนีขึ้นลง แต่หุ้นขนาดกลางและเล็ก ยังมีโอกาสลงทุนและไล่ตามไม่ทันดัชนีขึ้นลง ดังนั้นบริษัทแม้จะไม่มีกองทุนเพื่อลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กโดยเฉพาะ แต่ในพอร์ตกองทุนหุ้นส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กเป็นหลัก เพราะมีโอกาสในการทำกำไร
MP19-3373-A-393x503

ช่วงต้นปีจะเห็นว่า ดัชนีหุ้นไทยไม่ได้ลงแรงมาก เพราะมีหุ้นขนาดใหญ่คํ้าไว้ อย่างบริษัท ปตท.ฯ หรือ ปตท.สผ. ที่ราคาเพิ่มขึ้นตามราคานํ้ามันในตลาดโลก ที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่า 65 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จากปัญหาในอิหร่านและแรงเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้าของนํ้ามันโลก แต่เมื่อข่าวหายไป คนเก็งกำไรก็หายไปด้วย ทำให้ราคานํ้ามันร่วงลง เพราะถ้าหากดูจากความต้องการและปริมาณการผลิตแล้ว ราคาไม่ควรเกิน 65 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

“ราคานํ้ามันในตลาดโลกเป็นอะไรที่เดายากมาก เพราะต้นปี เรามองว่าไม่น่าจะเกิน 65 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ก็เกิน ดังนั้นการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ก็ยากเช่นกัน สิ่งที่เราโฟกัสมาตั้งแต่ต้นคือ หุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่ปีนี้ราคาลงมาแรงและหลายๆตัวปัจจัยพื้นฐานดี จากราคาที่เคยซื้อขายที่พี/อี 40-50 เท่าแต่ปัจจุบันลงมาที่ 20-30 เท่า ดังนั้นหลายตัวราคาถูกและสามารถทำกำไรได้”

สำหรับตลาดตราสารหนี้ ขณะนี้ดอกเบี้ยเริ่มขยับ จากต้นปีที่นิ่ง แต่ปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี อยู่ที่ 2.8% เท่ากับพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของสหรัฐฯที่อ่อนลงมาอยู่ที่ 2.8-2.9% จากที่เคยทะลุ 3% แต่ตลาดตราสารหนี้ไม่เหมือนกับตลาดหุ้น เพราะผู้ซื้อหลักคือ นักลงทุนสถาบัน จะมีเรื่องเงินบำนาญ เงินเกษียณอายุ ซึ่งมีเกณฑ์บังคับหลักทรัพย์ที่มั่นคง ซึ่งเมื่อดอกเบี้ยขึ้นเท่ากับราคาตราสารหนี้ลดลง ก็จะมีนักลงทุนสถาบันเข้าไปรับแทน ดังนั้น yield curve พันธบัตรสหรัฐฯน่าจะสูงกว่านี้ไม่มากนัก อาจจะเหนือ 3% แต่จะไม่เห็น4%ซึ่งตราสารหนี้ไทยก็เช่นกันเมื่อขึ้นไปแตะ 3% จะมีนักลงทุนสถาบันมารับ จะดึง yield curve ให้ลดลงได้ ดังนั้นตลาดตราสารหนี้แม้ผันผวน แต่ไม่มากเท่าตลาดหุ้น

หน้า 19 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,373 วันที่ 10-13 มิ.ย. 2561 e-book-1-503x62-7