ค่ายยักษ์เบนหัวรุกต่างประเทศ มุ่งเอเชีย/ยุโรปกระจายเสี่ยง/ผลตอบแทนสูง

03 ก.พ. 2559 | 02:00 น.
บิ๊กอสังหาฯกระจายเสี่ยง เพิ่มลงทุนต่างประเทศ พร้อมขยายฐานลูกค้าต่างชาติ ค่ายแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เล็งลงทุนอเมริกาต่อเนื่อง หวังผลตอบแทน 12-15% ฟากแสนสิริ ซื้อออฟฟิศเก่าในลอนดอน รีโนเวทเป็นที่พักอาศัย ทั้งปรับเพิ่มสัดส่วนลูกค้าข้ามชาติ โฟกัสตลาดจีน ตั้งเป้ายอดขายส่วนนี้ 5 พันล้าน ส่วนศุภาลัยไม่น้อยหน้าเตรียมผุด Fyansford โครงการแนวราบที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย

ภาพรวมสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ของไทยยังคงอยู่ในภาวะทรงตัว โดยปีนี้ผู้ประกอบการประเมินการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่าภาพรวมอยู่ที่ประมาณ 5-10% ทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ หันไปขยายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพราะเล็งเห็นถึงผลตอบแทนที่สูงกว่าในประเทศ

นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2559 บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาต่อเนื่อง หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการขายอพาร์ตเมนท์ 1 แห่งไปในราคา 18 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้เข้าซื้อเพื่อลงทุนในโครงการดังกล่าวเมื่อปี 2555 ในราคา 12 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปีที่ผ่านมาบริษัทลงทุนซื้ออพาร์ตเมนท์ในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 2.5 พันล้านบาท สำหรับปี 2559 บริษัทมีแผนที่จะลงทุนพัฒนาหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าจำนวน 7 พันล้านบาท จากงบการลงทุนรวมทั้งหมด 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้บริษัทคาดว่าจะนำมาลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม ทั้งนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาและศึกษาความเป็นไปได้

เช่นเดียวกับ นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้จะรุกตลาดต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายจากตลาดต่างชาติได้ถึง 3.5 พันล้านบาท สูงกว่าปี 2557 ถึง 135% และในปี 2559 ได้ตั้งเป้ายอดขายตลาดต่างชาติ 5 พันล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชีย 83% อาทิ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย จีนและไต้หวัน ส่วนยุโรป อาทิ รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์และอิตาลี เป็นต้น) 11% อเมริกา 4 % และอื่นๆ

นอกจากนี้ปีที่ผ่านมายังได้เพิ่มงบลงทุนที่ตลาดลอนดอน 500 ล้านบาท เพื่อนำสำนักงานให้เช่าที่ซื้อมาปรับปรุงเป็นที่อยู่อาศัย หลังจากที่ประสบความสำเร็จ จากการปิดการขายคอนโดมิเนียม 9 Elvaston Place จำนวน 6 หน่วย มูลค่ารวม 600 ล้านบาท และคาดว่าอาคารใหม่ที่ลงทุนจะเห็นการเปลี่ยนแปลงภายในระยะเวลา 3 ปี โดยตลาดเช่าในลอนดอนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีอัตราการเติบโตที่ดี

ด้านนายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันมีโครงการอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 840 ล้านบาท ปัจจุบันอัตราเช่า 100% รายได้จากการเช่าสูงถึง 9.1% สูงกว่าประเทศไทยที่ได้ 6% และโครงการร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่นและพาร์ทเนอร์ รวมทั้งโครงการที่ดินจัดสรรในประเทศออสเตรเลีย เมืองเมลเบิร์นรวม 3 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 800 ล้านบาท เบื้องต้นลงทุนไปแล้วกว่า 500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการที่บัลมอรัล คีย์ โดยโครงการในเฟสแรกมียอดขายที่ดี โดยมีหน่วยเหลือขายเพียง 7 หน่วยเท่านั้น (จากทั้งหมด 20 หน่วย) รวมมูลค่ายอดขายกว่า 30 ล้านบาท

ส่วนที่เหลือมีแผนลงทุนเพิ่มในปีนี้ พร้อมพัฒนาเพิ่มอีก 2 โครงการ ได้แก่ Fyansford มูลค่าลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท และอีกหนึ่งโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนว่าจะอยู่ในรูปแบบใด สำหรับอัตราการขายเฉลี่ยของทุกโครงการอยู่ที่ประมาณ 20 หลังต่อเดือน หรือประมาณ 500 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนการลงทุนในเมืองเมลเบิร์นจำนวนกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทก็เล็งพัฒนาโครงการอสังหาฯในประเทศอื่นเพิ่มเติม

“เหตุที่บริษัทเลือกลงทุนอสังหาฯในต่างประเทศ เพราะต้องการเพิ่มศักยภาพในการเติบโตและกระจายความเสี่ยง ทั้งนี้การลงทุนอสังหาฯในต่างประเทศจะต้องมีการศึกษาอย่างรอบครอบ เลือกประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ คือ มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองรวมทั้งมีความต้องการที่อยู่อาศัยและมีผลตอบแทนสูง โดยบริษัทจะเลือกลงทุนอสังหาฯประเภทที่มีอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return : IRR) ประมาณ 20% และลงทุนไม่เกิน 10% ของทรัพย์สินสุทธิ” นายประทีป กล่าว

ส่วนนายหลิน กว่าง จุง อลัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาริสัน จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ได้พาบริษัท โพลาริส แคปปิตัล จำกัด(มหาชน) ไปลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยย่านใจกลางลอนดอน ประเทศอังกฤษ มูลค่าโครงการ 7 พันล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยในไทยจะเปิดพรีเซลส์วันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ นอกจากนี้ยังมีอีกโครงการหนึ่งในอนาคตอยู่เมืองเคนท์ มีที่ดินประมาณ 70 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว และรีสอร์ท จำนวน 200 หลัง มูลค่าโครงการประมาณ 6 พันล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,127
วันที่ 31 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559