กระทรวงแรงงาน ชี้แจงกรณีแรงงานต่างด้าวที่ไม่สามารถลงทะเบียนดำเนินการที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จได้ทันเวลา โดยให้ไปดำเนินการจัดทำทะเบียนประวัติ ตีวีซ่า ตรวจสุขภาพ ทำประกันสุขภาพและขออนุญาตทำงานได้ภายใน 30 มิถุนายนนี้ ซึ่งกระทรวงแรงงานจะมี SMS แจ้งไปยังนายจ้าง/ผู้ประกอบการเพื่อนัดวันเวลา สถานที่ดำเนินการต่อไป พร้อมย้ำหากไม่ดำเนินการภายในกำหนด แรงงานต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทำงานในประเทศไทยต่อไปได้ หากประสงค์จะทำงานต้องเดินทางกลับประเทศต้นทาง แล้วกลับเข้ามาตามระบบ MOU
นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวถึง กรณีที่แรงงานต่างด้าวไม่สามารถลงทะเบียนดำเนินการที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จได้ทันเวลาว่า จากการดำเนินการที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้มีมาตรการเพื่อให้กระบวนการดำเนินการในศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว ทันเวลา โดยมีการวางแผนการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ ซึ่งได้มีการปรับกระบวนการทำงานเป็น 3 ระยะคือ ระยะแรก กำหนดให้แรงงานนำใบเสร็จรับเงินค่าตรวจสุขภาพและค่าประกันสุขภาพเป็นหลักฐานแทนใบรับรองแพทย์ เมื่อผลตรวจออกมาแล้วให้ใช้ใบรับรองแพทย์
ระยะที่ 2 ลดขั้นตอนโดยให้แรงงานตีวีซ่าและขออนุญาตทำงานก่อน แล้วจึงนัดไปจัดทำใบอนุญาตทำงาน (บัตรสีชมพู) ในภายหลัง รวมทั้งเพิ่มเวลาการให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมาก ระยะที่ 3 เพิ่มช่องทางโดยรับลงทะเบียนกลุ่มที่ยังตกค้าง ไม่สามารถดำเนินการภายในศูนย์ฯ ได้ทันเวลาที่กำหนดทางระบบออนไลน์เว็บไซต์กรมการจัดหางาน www.doe.go.th หรือทางเอกสารที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในส่วนภูมิภาค ทั้งยังมีการออกหน่วยบริการเคลื่อนที่ไปยังสถานประกอบการเพื่อรับลงทะเบียนออนไลน์ ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2561 เวลา 24.00 น. แล้วจึงมาจัดทำทะเบียนภายหลัง
โดยกระทรวงแรงงานจะส่ง SMS กำหนดวัน เวลานัดหมายไปให้นายจ้าง เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่างๆให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2561 มีผลการดำเนินงานคือ แรงงานต่างด้าวมาดำเนินการทั้งหมด จำนวน 1,320,035 คน คิดเป็นร้อยละ 96 คงเหลือที่ไม่มาดำเนินการเพียง 59,217 คน คิดเป็นร้อยละ 4 เท่านั้น และมีการลงทะเบียนทางออนไลน์ จำนวน 190,056 คน ทั้งนี้ ผู้ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนก็ไม่สามารถอยู่ต่อหรือทำงานต่อไปได้ แต่หากประสงค์จะทำงานต่อไปก็ต้องเดินทางกลับออกไปก่อนและกลับเข้ามาใหม่ตามระบบ MOU
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงานได้มีการประสานงานกับประเทศต้นทางเพื่อให้การนำเข้าแรงงานต่างด้าวตามระบบ MOU สามารถรองรับความต้องการแรงงานของนายจ้างและสถานประกอบการได้อย่างเพียงพอ โดยปรับลดขั้นตอน ลดค่าใช้จ่ายให้มีความเหมาะสม เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ประหยัด คุ้มค่า ซึ่งสามารถดำเนินการได้ 2 กรณีคือ 1. นายจ้างเป็นผู้ดำเนินการเอง 2. นายจ้างมอบอำนาจให้ ผู้รับอนุญาตนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศดำเนินการ
โดยนายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวทำงาน แต่ยังไม่มีแรงงานต่างด้าว สามารถดำเนินการได้โดยยื่นคำร้องขอนำเข้าแรงงานต่างด้าวที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ในเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ การนำเข้าตามระบบ MOU เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายจะทำให้แรงงานได้รับความคุ้มครองและดูแลเหมือนเช่นคนไทย และเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล