พ.ร.ก.จัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัล ปูทางสู่การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว

17 มี.ค. 2561 | 09:59 น.
พ.ร.ก.จัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัล...ปูทางสู่การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว

ประเด็นสำคัญ

•การอนุมัติร่าง พ.ร.ก.เพื่อจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัลในครั้งนี้ สร้างความชัดเจนในนิยามของทรัพย์สินดิจิทัล รวมถึงการเก็บภาษีที่เทียบเคียงได้กับทรัพย์สินประเภทอื่นๆ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับสากล และมุ่งส่งเสริมลงทุนระยะยาว มากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น

•ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ขณะนี้ยังจำกัด เพราะตลาด ICO ยังมีขนาดเล็ก ขณะที่ ความชัดเจนจากเกณฑ์ด้านภาษีข้างต้น จะช่วยให้นักลงทุนพิจารณาลงทุนด้วยความรอบคอบ ซึ่งน่าจะดีต่อกิจการในการผลักดันโครงการและเทคโนโลยีที่มีคุณภาพในระยะยาว

จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการประชุมในวันที่ 13 มีนาคม 2561 ได้อนุมัติร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่...) พ.ศ.... เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัล ซึ่งหลังจากนี้ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. อีกครั้ง เพื่อรอประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป

ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว เป็นหนึ่งในกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่ทางการไทยเตรียมทยอยบังคับใช้ ซึ่งสะท้อนความตั้งใจของรัฐบาลในการวางกรอบกติกาที่ชัดเจนให้สำหรับการลงทุนชนิดใหม่นี้ และเป็นการดูแลความเสี่ยงของระบบในภาพรวม ขณะเดียวกัน ก็จะทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีกฎหมายเฉพาะเจาะจงสำหรับการจัดการภาระภาษีเนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัล ทั้งนี้ ร่างกฎหมายใหม่นี้ จะครอบคลุมทั้งการกำหนดนิยามของทรัพย์สินดิจิทัล การจัดจำแนกประเภทเงินได้จากการลงทุนในทรัพย์สินดิจิทัล ตลอดจนการตั้งอัตราภาษีเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัล ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

•การจัดประเภททรัพย์สินดิจิทัล มีความชัดเจน สอดคล้องกับสากล โดยร่างกฎหมายจะจำแนกประเภททรัพย์สินออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1)คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ซึ่งมีมูลค่าอันถือเอาได้ ไม่ต้องมีการอ้างอิงเงินตราอื่นใด และใช้ซื้อ-ขายสินค้าและบริการต่างๆ โดยทั่วไปได้

2)โทเคนดิจิทัล (Digital Tokens) ซึ่งให้สิทธ์แก่ผู้ถือในการแลกเปลี่ยนโทเคนกับสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ระหว่างผู้ออกและผู้ถือโทเคน

3)ทรัพย์สินในรูปหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อื่นใดที่ทางกระทรวงการคลังจะกำหนดในอนาคต

การจัดประเภททรัพย์สินดิจิทัลดังกล่าว มีความสอดคล้องกับทางการประเทศอื่น เช่น ก.ล.ต. ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (FINMA) ซึ่งแบ่งแยกทรัพย์สินดิจิทัล ซึ่งเป็นเสมือน ‘เงินตรา’ ที่ใช้ซื้อขายสินค้าและบริการได้ในความหมายที่กว้างกว่า ‘โทเคน’ ซึ่งให้สิทธิผู้ถือในสินค้าหรือบริการในขอบเขตที่จำกัดกว่า โดยการที่ทางการไทยระบุข้อที่สามไว้ ก็เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับพัฒนาการของทรัพย์สินดิจิทัล ที่อาจมีประเภทใหม่ๆ เกิดขึ้นในอนาคต

•กฎหมายมีการระบุถึงการเก็บภาษีบนรายได้จากทรัพย์สินดิจิทัล โดยร่างกฎหมายได้เพิ่มประเภทย่อยของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4) โดยให้รวมถึงรายได้จากทรัพย์สินดิจิทัลสองประการ ประการแรก เงินส่วนแบ่งกำไร หรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้จากทรัพย์สินดิจิทัล และ ประการที่สอง รายได้จากการซื้อขายทรัพย์สินซึ่งมากกว่าเงินลงทุน ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับหุ้นแล้ว ภาษีชนิดแรกจะเปรียบเสมือนเงินปันผล (Dividends) ในขณะที่ ภาษีชนิดที่สองจะเก็บบนราคาที่ปรับตัวขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น Capital Gains จากการซื้อหุ้น (แต่ในกรณีของไทย ไม่มีการเก็บภาษี Capital Gain Tax จากรายได้การซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายย่อย) อันเท่ากับเป็นปูทางให้สามารถกำหนดอัตราภาษีบนรายได้จากทรัพย์สินดิจิทัลได้อย่างตรงไปตรงมา

สำหรับรายได้จากทรัพย์สินทั้งสองชนิดนี้ กฎหมายได้กำหนดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่นักลงทุนต้องจ่าย อยู่ที่อัตรา 15% โดยหัก ณ ที่จ่าย และนักลงทุนยังต้องนำไปรวมในการคำนวณฐานเงินได้สุทธิประจำปีเพื่อเสียภาษีในภายหลังด้วย อย่างไรก็ตาม รายละเอียดข้างต้นนี้ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลง ขึ้นกับกฎหมายสุดท้ายที่ผ่านขั้นตอนต่างๆแล้ว รวมถึงกฎกระทรวงที่อาจมีการประกาศตามมาในภายหลัง ขณะที่กระทรวงการคลังยังมีแนวทางกำหนดอัตราภาษีเงินได้ในกรณีนิติบุคคล ซึ่งคงต้องรอความชัดเจนเช่นกัน

เปรียบเทียบภาระภาษีสำหรับนักลงทุนรายย่อย จากการลงทุนในทรัพย์สินดิจิทัล ภายใต้ร่างกฎเกณฑ์ภาษีของไทย (ไม่รวม ICO) kb1-17

รวบรวมโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

หมายเหตุ: *ต้องรอหนึ่งปีที่จะเอาเงินเข้าประเทศ ส่วนภาระภาษีของบริษัทไทยที่ออก ICO ให้ทั้งผู้ซื้อไทยและต่างชาติ และภาระภาษีบริษัทต่างชาติที่ขาย ICO ให้นักลงทุนชาวไทย น่าจะมีความชัดเจนขึ้น เมื่อมีการทยอยออกกฎหมายตามมา ซึ่งอาจเป็นในเดือนมีนาคม 2560 นี้

เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ จะพบความสอดคล้องกันของเกณฑ์ด้านภาษีตรงที่มีการเพ่งเล็งไปที่การซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้นเป็นสำคัญ (โดยนักลงทุนที่มีการซื้อขายค่อนข้างถี่ก็จะเผชิญภาระภาษีมาก ยกตัวอย่าง ประเทศเยอรมนี ซึ่งกำหนดว่าในกรณีที่ผู้ซื้อขายทรัพย์สินดิจิทัลทำการซื้อและขายทรัพย์สินดิจิทัลชนิดใดหนึ่งภายในหนึ่งปี และทำกำไรจากการซื้อและขายทรัพย์สินดิจิทัลเกินกว่า 800 ยูโร จะต้องเสียภาษี Capital Gains ในอัตรา 25% แต่หากนักลงทุนเก็บเหรียญดิจิทัลไว้เกินหนึ่งปีก็จะไม่ต้องเสียภาษี  เป็นต้น)

เปรียบเทียบภาษีทรัพย์สินดิจิทัลของประเทศสำคัญในโลก kb2-17 นอกจากนี้ ยังพบความสอดคล้องกันอีกประการหนึ่ง คือ ประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งออกกฎหมายด้านภาษี ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี สหราชอาณาจักร หรือสหรัฐฯ ไม่ได้ห้ามการซื้อขายทรัพย์สินดิจิทัล อันแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของทางการที่ไม่ได้มุ่งจำกัดการเติบโตของอุตสาหกรรมดังกล่าว และเปิดโอกาสให้เกิดตลาด ICO เพื่อเป็นทางเลือกในการระดมทุนของกิจการ โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ทอัพ และธุรกิจด้านเทคโนโลยี บนความคาดหวังของต่อพฤติกรรมการลงทุนในลักษณะที่เอื้อต่อการเติบโตของตลาดอย่างมีเสถียรภาพ

•ผลเศรษฐกิจโดยรวม ยังไม่มากเพราะตลาดปัจจุบันยังมีขนาดเล็ก โดย ณ วันที่ 14 มีนาคม 2561  ตลาด bx.in.th ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายเงินสกุลดิจิทัล (Exchange) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีมูลค่าการซื้อขาย 291.2 ล้านบาท หรือเพียง 0.37% ต่อมูลค่าการซื้อขายรายวันของตลาดหลักทรัพย์ไทย (78,221.2 ล้านบาท) กระนั้นก็ดี ประสบการณ์ของหลายประเทศสะท้อนว่า หากปล่อยให้ตลาดทรัพย์สินประเภทนี้เติบโตบนจุดประสงค์การลงทุนที่เน้นการเก็งกำไรในระยะสั้นเป็นหลัก ก็อาจสร้างความเสี่ยงทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อระบบเศรษฐกิจในอนาคตได้

•ผลกระทบต่อนักลงทุน การที่มีการประกาศอัตราภาษีเช่นนี้ อาจดูเหมือนเป็นข่าวลบ แต่จริงๆ แล้ว แม้ปัจจุบัน จะไม่ได้มีการระบุอัตราภาษีที่ชัดเจนจากผลประโยชน์ที่ได้รับจากทรัพย์สินดิจิทัล แต่นักลงทุนก็มีหน้าที่ต้องรวมผลประโยชน์ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่แล้ว ภายใต้กฎเกณฑ์ภาษีปัจจุบัน ทางกรมสรรพากร  ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า มีเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษี 127 กรณี เช่น เงินได้จากการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วนเงินได้ที่เหลือ บุคคลผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องนำไปแสดงรายการและชำระตามอัตราที่ถูกต้องตามฐานรายได้  ซึ่งหมายความว่า เงินได้จากการซื้อขายทรัพย์สินดิจิทัลไม่เข้าข่ายกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นดังกล่าว หรือสรุปได้ว่า ก่อนหน้าที่จะมีมาตรการภาษีเจาะจงสำหรับทรัพย์สินดิจิทัลนี้ นักลงทุนก็มีภาระทางภาษีอยู่แล้ว เพียงแต่อาจไม่ทราบ และ/หรือไม่ได้ตระหนัก ดังนั้น การออกกฎหมายระบุอัตราภาษีที่ชัดเจน จึงทำให้นักลงทุนรายย่อยตระหนักถึงภาระด้านภาษีของตน ตลอดจนสามารถคิดคำนึงถึงข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในทรัพย์สินดิจิทัลได้อย่างครบถ้วนและชัดเจนมากขึ้นด้วย kb3-17 รวบรวมโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

หมายเหตุ: *สำหรับตราสารทุน ตราสารหนี้ และทรัพย์สินดิจิทัล สามารถใช้วิธีหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราข้างบน หรือเอาไปรวมกับฐานเงินเดือนเพื่อชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทีเดียวได้

** มีการพิจารณาจะออกภาษีเงินได้จากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำอยู่ที่อัตรา 15% แต่ปัจจุบันยังไม่มีการออกกฎหมายมาบังคับใช้

•ผลกระทบต่อกิจการหรือบริษัทที่ระดมทุนด้วยช่องทาง ICO   การออกกฎหมายนี้ เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่ต้องการระดมทุนผ่าน ICO ด้วยการลดการซื้อขายเก็งกำไรในระยะสั้น (Speculative Trading) โดยกิจการที่ออก ICO จะได้รับประโยชน์ผ่านการลดความเสี่ยงที่ราคาโทเคนดิจิทัลจะผันผวน จากการที่นักเก็งกำไรเทขายหลังจากการระดมทุน ซึ่งปัจจุบันก็เป็นประเด็นถึงขั้นที่ทาง ก.ล.ต. สหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนถึงความแปรปรวนของราคาจากปัจจัยดังกล่าว

ทั้งนี้ แม้ว่าที่ผ่านมา กิจการผู้ออก ICO ในไทยอาจยังไม่มีนโยบายเก็บเงินทุนในรูปสกุลเงินที่ระดมทุนผ่าน ICO นัก แต่ในกรณีต่างประเทศ จะปรากฏกระแสสนับสนุนพฤติกรรมลักษณะนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ  นั่นหมายความว่า การโน้มน้าวนักลงทุนให้เน้นการลงทุนระยะยาวมากขึ้น ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อตัวกิจการเช่นกัน ส่งผลตามมาให้กิจการสามารถเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี ตลอดจนสินค้าและบริการตามแผนได้อย่างเต็มความสามารถ

โดยสรุปแล้ว ร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าว คงเป็นหนึ่งในกฎเกณฑ์สำคัญที่ทางการไทยเตรียมทยอยประกาศออกมาในอนาคต ซึ่งแม้จะต้องรอบทสรุปของรายละเอียดท้ายสุดหลังร่างกฎหมายผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ก็ยังย้ำเจตนารมณ์ของทางการไทยในการดูแลทรัพย์สินดิจิทัลที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วนี้อย่างเป็นระบบ โดยมุ่งให้เกิดเสถียรภาพของตลาด ผ่านการสนับสนุนการลงทุนระยะยาวมากกว่าการเก็งกำไร ขณะเดียวกัน ก็ไม่เป็นการปิดกั้นทางเลือกในการลงทุนของนักลงทุน และกิจการที่ต้องการระดมทุน โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ทอัพและบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยี ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในยุค 4.0 กระนั้นก็ดี เพื่อให้เห็นภาพการกำกับดูแลที่ครบถ้วน จึงยังคงต้องติดตามกฎเกณฑ์ที่กำลังจะออกมาในอนาคตอย่างใกล้ชิดด้วย ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว