ผุดสถาบันสอน กีฬาฮิตวิ่ง-ว่าย-ปั่น
“บางกอก เก็ทฟิต” ดึงนักกีฬาทีมชาติเปิดสอน 3 เทรนด์สปอร์ตยอดนิยมของคนไทย ทั้งวิ่ง ว่ายนํ้า ปั่นจักรยานรับเทรนด์สุขภาพมาแรง เล็งขยายสาขาเพิ่ม 2-3 แห่งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ก่อนสยายปีกบุกต่างประเทศ
นายคงพันธุ์ ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการ บริษัท บางกอก เก็ทฟิต จำกัด ผู้บริหารสถาบันเทรนนิ่งนักกีฬา “บางกอก เก็ทฟิต” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากความนิยมในการออกกำลังกายของคนไทยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในกีฬา 3 ประเภทได้แก่ ปั่นจักรยาน วิ่ง และว่ายนํ้า ทำให้บริษัทเกิดแนวคิดในการเปิดให้บริการ “บางกอก เก็ทฟิต Bangkok Get Fit” สถาบันเทรนนิ่งด้านกีฬา สาขาแรกขึ้นที่เอ สแควร์ สุขุมวิท 26 และมีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้น 2-3 แห่งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลภายในปีนี้ โดยเน้นเจาะ 2 กลุ่มเป้าหมายหลักได้แก่ 1. กลุ่มลูกค้าบริษัท องค์กร ที่ต้องการจัดงานกีฬาวิ่งมาราธอน หรือกลุ่มที่ต้องการเทรนด์พนักงาน ฯลฯ 2. กลุ่มลูกค้าคนทั่วไปที่ต้อง การออกกำลังกายแบบถูกวิธี
[caption id="attachment_110728" align="aligncenter" width="319"]
คงพันธุ์ ปราโมช ณ อยุธยา[/caption]
“สมัยนี้ใครๆ ก็ออกกำลังกายได้แต่ทำอย่างไรให้เขาเหล่านั้นออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและไม่ได้รับบาดเจ็บขณะออกกำลังกาย จึงเกิดเป็นไอเดียในการเปิดสถาบันนี้ขึ้น เนื่องจากในไทยยังไม่มีการเปิดสอนไตรกีฬาหรือกลุ่มกีฬาดังกล่าวอย่างเป็นทางการ มีเพียงการเปิดสอนเป็นคอร์สปิดเท่านั้น”
สำหรับการสร้างสถาบันให้เป็นที่รู้จักไปยังกลุ่มเป้าหมาย และคนทั่วไปนั้น จะให้ความสำคัญกับการบอกต่อ แบบปากต่อปาก โดยช่วงแรกจะให้ความสำคัญกับการเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทหรือองค์กรก่อน เนื่องจากมีจำนวนมาก และก่อให้เกิดกระแสบอกต่อได้มากกว่า หลังจากนั้นจึงจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าผู้ใช้ทั่วไป นอกจากนี้ยังจะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ในช่องทางออนไลน์ควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของสถาบันส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่นิยมใช้ช่องทางโซเชียลอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าจะทำให้เข้าถึงผู้ที่สนใจได้ไม่ยาก พร้อมกับการนำระบบสมาชิกเข้ามาใช้เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสะดวกสบายมากขึ้น โดยวางเป้าหมายในการเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ 30% และลูกค้าทั่วไป 70%
“ค่าสมาชิก 3,000 บาทต่อเดือน ประกอบไปด้วย การวิ่ง 2 ครั้ง ว่ายนํ้า 2 ครั้ง และจักรยาน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยจะมีเทรนเนอร์ที่เป็นนักกีฬาระดับทีมชาติตั้งแต่ระดับซีเกมส์ไปจนถึงโอลิมปิกมาคอยฝึกสอนให้กับผู้เรียน”
นอกจากนี้ใน 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนขยายสาขาไปยังต่างประเทศ ภายใต้โมเดล “... GET FIT” ซึ่งชื่อนำหน้าจะขึ้นต้นด้วยชื่อเมืองแต่ละเมืองที่บริษัทเข้าไปขยายสาขา โดยพร้อม ที่จะร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ที่ให้ความสนใจ แต่เบื้องต้นในช่วงปีแรกต้องการสร้างแบรนด์ในเมืองไทยให้แข็งแกร่งเสียก่อน อีกทั้งรูปแบบธุรกิจดังกล่าวยังไม่มีผู้เล่น รายใหญ่ในเมืองไทย จึงมองว่าเป็นโอกาสอันดีในการขยายตลาดและสร้างการเติบโตได้อีกนาน
อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่มีการตั้งเป้ารายได้ในช่วงปีแรกแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการคืนทุนในช่วง 2-3 เดือนหลังจากเปิดให้บริการ โดยวางเป้าหมายมีลูกค้า ทั่วไปเข้ามาเรียนครบ 1,000 คนในสิ้นปีจากปัจจุบันที่มีอยู่ 50 คน และ มีผู้ให้ความสนใจตั้งแต่วัยเด็กเล็กไปจนถึงวัยเกษียณอายุ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,348 วันที่ 15 - 17 มีนาคม พ.ศ. 2561
นายคงพันธุ์ ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการ บริษัท บางกอก เก็ทฟิต จำกัด ผู้บริหารสถาบันเทรนนิ่งนักกีฬา “บางกอก เก็ทฟิต” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากความนิยมในการออกกำลังกายของคนไทยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในกีฬา 3 ประเภทได้แก่ ปั่นจักรยาน วิ่ง และว่ายนํ้า ทำให้บริษัทเกิดแนวคิดในการเปิดให้บริการ “บางกอก เก็ทฟิต Bangkok Get Fit” สถาบันเทรนนิ่งด้านกีฬา สาขาแรกขึ้นที่เอ สแควร์ สุขุมวิท 26 และมีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้น 2-3 แห่งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลภายในปีนี้ โดยเน้นเจาะ 2 กลุ่มเป้าหมายหลักได้แก่ 1. กลุ่มลูกค้าบริษัท องค์กร ที่ต้องการจัดงานกีฬาวิ่งมาราธอน หรือกลุ่มที่ต้องการเทรนด์พนักงาน ฯลฯ 2. กลุ่มลูกค้าคนทั่วไปที่ต้อง การออกกำลังกายแบบถูกวิธี
[caption id="attachment_110728" align="aligncenter" width="319"]
“สมัยนี้ใครๆ ก็ออกกำลังกายได้แต่ทำอย่างไรให้เขาเหล่านั้นออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและไม่ได้รับบาดเจ็บขณะออกกำลังกาย จึงเกิดเป็นไอเดียในการเปิดสถาบันนี้ขึ้น เนื่องจากในไทยยังไม่มีการเปิดสอนไตรกีฬาหรือกลุ่มกีฬาดังกล่าวอย่างเป็นทางการ มีเพียงการเปิดสอนเป็นคอร์สปิดเท่านั้น”
สำหรับการสร้างสถาบันให้เป็นที่รู้จักไปยังกลุ่มเป้าหมาย และคนทั่วไปนั้น จะให้ความสำคัญกับการบอกต่อ แบบปากต่อปาก โดยช่วงแรกจะให้ความสำคัญกับการเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทหรือองค์กรก่อน เนื่องจากมีจำนวนมาก และก่อให้เกิดกระแสบอกต่อได้มากกว่า หลังจากนั้นจึงจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าผู้ใช้ทั่วไป นอกจากนี้ยังจะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ในช่องทางออนไลน์ควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของสถาบันส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่นิยมใช้ช่องทางโซเชียลอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าจะทำให้เข้าถึงผู้ที่สนใจได้ไม่ยาก พร้อมกับการนำระบบสมาชิกเข้ามาใช้เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสะดวกสบายมากขึ้น โดยวางเป้าหมายในการเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ 30% และลูกค้าทั่วไป 70%
“ค่าสมาชิก 3,000 บาทต่อเดือน ประกอบไปด้วย การวิ่ง 2 ครั้ง ว่ายนํ้า 2 ครั้ง และจักรยาน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยจะมีเทรนเนอร์ที่เป็นนักกีฬาระดับทีมชาติตั้งแต่ระดับซีเกมส์ไปจนถึงโอลิมปิกมาคอยฝึกสอนให้กับผู้เรียน”
อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่มีการตั้งเป้ารายได้ในช่วงปีแรกแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการคืนทุนในช่วง 2-3 เดือนหลังจากเปิดให้บริการ โดยวางเป้าหมายมีลูกค้า ทั่วไปเข้ามาเรียนครบ 1,000 คนในสิ้นปีจากปัจจุบันที่มีอยู่ 50 คน และ มีผู้ให้ความสนใจตั้งแต่วัยเด็กเล็กไปจนถึงวัยเกษียณอายุ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,348 วันที่ 15 - 17 มีนาคม พ.ศ. 2561
