ดับบลิวพี-มิตซูบิชิ เตรียมลงสนาม แข่งดุนำเข้าแอลพีจีภายในกลางปีนี้ เล็งฮุบส่วนแบ่งทางการตลาดค้าส่ง-ค้าปลีกในประเทศ ขณะที่ “สยามแก๊ส” ยังนำเข้าเบอร์ 1 ส่งแผนนำเข้าไตรมาส 1 ปีนี้เฉลี่ย 3.6 หมื่นตันต่อเดือน ขณะที่ ปตท. เฉลี่ย 1.4 หมื่นตันต่อเดือน
นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หลังกระทรวงพลังงานเปิดเสรีนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ส่งผลให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ยื่นขออนุญาตนำเข้าแอลพีจีมากขึ้น โดยในปีนี้มีทางบริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ภายใต้เครื่องหมายการค้า “เวิลด์แก๊ส” และบริษัท มิตซูบิชิ (ประเทศไทย) จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น แจ้งว่ามีแผนจะนำเข้าแอลพีจี แต่ยังไม่ได้แจ้งตัวเลขมายังกรมฯ คาดว่าน่าจะประมาณกลางปีนี้จะเห็นผู้เล่นรายใหม่นำเข้าแอลพีจี จากปัจจุบันมี 3 ราย ได้แก่ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอสจีพี, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นำเข้าเพื่อขายในประเทศ ส่วนทางบริษัท ยูนิคแก๊สแอนด์ ปิโตรเคมิคัลส์ จำกัด (มหาชน) นำเข้าแอลพีจีเพื่อส่งออก
ทั้งนี้ การที่มีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มเข้ามา เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อราคาขายปลีกแอลพีจีในประเทศ เนื่องจากเกิดการแข่งขันเข้มข้นมากขึ้น เบื้องต้นทางดับบลิวพี เตรียมนำเข้าเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างๆ ส่วนมิตซูบิชิ เตรียมนำเข้าร่วมกับทาง ปตท. คนละครึ่ง ซึ่งขณะนี้คงอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าเพื่อค้าส่งให้กับกลุ่มลูกค้าภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นหากมีความชัดเจนคาดว่าจะเห็นผู้ประกอบการรายใหม่เข้าในตลาดแอลพีจีกลางปีนี้
สำหรับตัวเลขการนำเข้าแอลพีจี ล่าสุดทางสยามแก๊ส ขออนุญาตนำเข้าช่วงไตรมาส 1/2561 เฉลี่ย 3.67 หมื่นตันต่อเดือน และไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 4.4 หมื่นตันต่อเดือน ขณะที่ทาง ปตท. ขออนุญาตนำเข้าแอลพีจีไตรมาส 1/2561 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.47 หมื่นตันต่อเดือน ส่วนไตรมาส 2/2561 ยังไม่ได้แจ้งเข้ามา และบริษัท ยูนิคแก๊ส ขออนุญาตนำเข้าเพื่อส่งออก ไตรมาส 1/2561 เฉลี่ยอยู่ที่ 4.8 พันตันต่อเดือน และไตรมาส 2/2561 เฉลี่ยอยู่ที่ 4.2 พันตันต่อเดือน
“ผู้ค้าแอลพีจีมาตรา 7 นำเข้าแอลพีจี ปีนี้น่าจะเห็นรายใหม่เพิ่มเข้ามาในระบบ โดยที่ผ่านมาทางดับบลิวพี และมิตซูบิชิ แจ้งว่าเตรียมนำเข้าแอลพีจี ซึ่งทางดับบลิวพี คงต้องดูสัญญาซื้อขายแอลพีจีกับคู่ค้าปัจจุบันก่อน เพราะหากไม่ซื้อกับทางคู่ค้าก็จะนำเข้าเอง อย่างไรก็ตามยิ่งมีผู้เล่นมากรายจะยิ่งส่งผลดีกับราคาแอลพีจีในประเทศ ประชาชนย่อมได้ประโยชน์” นายวิฑูรย์ กล่าว
นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมการใช้นํ้ามันเชื้อเพลิงปี 2560 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2559 โดยกลุ่มนํ้ามันเบนซิน เพิ่มขึ้น 3.7% และดีเซลหมุนเร็ว (บี7) เพิ่มขึ้น 2.7% ขณะที่แอลพีจี เพิ่มขึ้น 3.4% และเอ็นจีวี ลดลง 12.1% โดยการใช้นํ้ามันกลุ่มเบนซินเฉลี่ย อยู่ที่ 30.1 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนคิดเป็น 3.7% ส่วนการใช้นํ้ามัน ดีเซลหมุนเร็ว (บี7) เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 62.2 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนคิดเป็น 2.7% ถึงแม้ว่าราคาขายปลีกจะปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2559 แต่ปริมาณการใช้ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการเติบโตทางเศรษฐกิจและปริมาณรถยนต์ที่ใช้นํ้ามันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงมีปริมาณเพิ่มขึ้น
ส่วนการใช้แอลพีจีเฉลี่ยต่อวันของปี 2560 อยู่ที่ 17.0 ล้านกิโลกรัมต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนคิดเป็น 3.4% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของการใช้ทุกภาคยกเว้นภาคขนส่ง ที่มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 3.6 ล้านกิโลกรัมต่อวัน คิดเป็นอัตราลดลง 10% สำหรับการใช้ในภาคอื่นๆ มีอัตราการใช้เพิ่มขึ้น โดยภาคปิโตรเคมีอัตราการใช้เพิ่มขึ้นสูงที่สุดอยู่ที่ 5.7 ล้านกิโลกรัมต่อวัน คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 14.7% รองลงมาเป็นภาคอุตสาหกรรมมีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 1.8 ล้านกิโลกรัมต่อวัน คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 6.6% และภาคครัวเรือนเฉลี่ยอยู่ที่ 5.9 ล้านกิโลกรัมต่อวัน คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 2.1%
ขณะที่การใช้เอ็นจีวีของปี 2560 เฉลี่ยอยู่ที่ 6.8 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ลดลงจากปีก่อน คิดเป็น 12.1% โดยการใช้เอ็นจีวีลดลงเป็นผลต่อเนื่องจาก ราคานํ้ามันเชื้อเพลิงปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปี 2559
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,344 วันที่ 1 - 3 มีนาคม พ.ศ. 2561