โกลเด้นแลนด์ผนึกเฟรเซอร์สไต่ขึ้นท็อปไฟว์
โกลเด้นแลนด์ ผนึกเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ เติบโตแข็งแกร่ง ต่อยอดธุรกิจมาตรฐานโลก ไต่อันดับสู่บริษัทอสังหาฯชั้นนำ 5 อันดับแรกของไทย
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า ปีนี้ตั้งเป้าให้เป็นปีแห่ง “การเพิ่มมูลค่า” โดยได้ผสานองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความชำนาญในการพัฒนา การลงทุน และการบริหารโครงการตั้งแต่ที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล พื้นที่เชิงพาณิชย์ พื้นที่เชิงอุตสาหกรรม และโลจิส ติกส์ รวมถึงธุรกิจฮอสพิทัลลิตี ซึ่งประกอบด้วยโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ จากเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ เข้ากับความชำนาญในการพัฒนา และบริหารอสังหา ริมทรัพย์ของประเทศไทยจากโกลเด้นแลนด์มากยิ่งขึ้น ภายใต้ความร่วมมือ “โกลเด้นแลนด์- เฟรเซอร์ส ซินเนอร์จี้” เพื่อเพิ่มศักยภาพสู่การเติบโตเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ 5 อันดับแรกของประเทศ
[caption id="attachment_236212" align="aligncenter" width="503"]
นพล ศิริธนชัย[/caption]
ทั้งนี้ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นของโกลเด้นแลนด์ ตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 39.9% ทำให้ความร่วมมือระหว่างกันเริ่มเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งด้านการร่วมลงทุน และการร่วมพัฒนาโครงการต่างๆ
สำหรับบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ในสิงคโปร์ รีแบรนด์จากเฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พ้อยท์ เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีการลงทุนในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย ยุโรป จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มากกว่า 80 เมือง ทั่วทวีปเอเชีย ออสเตรเลีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
“ในระดับนานาชาติให้การยอมรับการพัฒนาเมือง และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศสิงคโปร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเชิงพาณิชย์ใจกลางเมือง เนื่องจากราคาที่ดินที่สูงมาก ทำให้ต้องใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าที่สุด จึงเกิดเป็นนวัตกรรมการใช้พื้นที่ที่น่าสนใจ และสามารถนำปรับใช้กับการพัฒนาโครงการในกรุงเทพฯ ที่มีราคาที่ดินขึ้นเฉลี่ยปีละ10 - 15% รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่พักอาศัย และอาคารสำนักงานเกรดเอ เป็นที่ชื่นชอบสำหรับเหล่านักลงทุนชาวสิงคโปร์ และนิยมลงทุนผ่านการซื้อหน่วยลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์”
การนำความรู้ความชำนาญด้านการบริหารทรัสต์ฯ ระดับโลกของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ มาประยุกต์เข้ากับรูปแบบของประเทศไทย จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของโกลเด้นแลนด์
สำหรับปี 2561 บริษัท ได้ตั้งเป้าให้เป็นปีแห่ง “การเพิ่มมูลค่า (Adding Value)” จากความมั่นใจในความแข็งแกร่งของ บริษัท ด้วยฐานะทางการเงินที่ดีขึ้น จึงมีความมั่นใจกำหนดเป้าหมายรายได้ของปี 2561 บริษัท ตั้งเป้าหมายรายได้รวม 17,800 ล้านบาท ซึ่งสินค้าแนวราบระดับกลาง ได้แก่ บ้านเดี่ยว ราคา 7-10 ล้านบาท บ้านแฝดราคา 4-7 ล้านบาท และทาวน์โฮมราคา 2-4 ล้านบาท จะเป็นสินค้าหลักของบริษัท และบริษัท ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการสามย่านมิตรทาวน์ ซึ่งคาดว่าในปี 2561 งานก่อสร้างจะคืบหน้ากว่า 60%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,338 วันที่ 8 - 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า ปีนี้ตั้งเป้าให้เป็นปีแห่ง “การเพิ่มมูลค่า” โดยได้ผสานองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความชำนาญในการพัฒนา การลงทุน และการบริหารโครงการตั้งแต่ที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล พื้นที่เชิงพาณิชย์ พื้นที่เชิงอุตสาหกรรม และโลจิส ติกส์ รวมถึงธุรกิจฮอสพิทัลลิตี ซึ่งประกอบด้วยโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ จากเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ เข้ากับความชำนาญในการพัฒนา และบริหารอสังหา ริมทรัพย์ของประเทศไทยจากโกลเด้นแลนด์มากยิ่งขึ้น ภายใต้ความร่วมมือ “โกลเด้นแลนด์- เฟรเซอร์ส ซินเนอร์จี้” เพื่อเพิ่มศักยภาพสู่การเติบโตเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ 5 อันดับแรกของประเทศ
[caption id="attachment_236212" align="aligncenter" width="503"]
ทั้งนี้ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นของโกลเด้นแลนด์ ตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 39.9% ทำให้ความร่วมมือระหว่างกันเริ่มเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งด้านการร่วมลงทุน และการร่วมพัฒนาโครงการต่างๆ
สำหรับบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ในสิงคโปร์ รีแบรนด์จากเฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พ้อยท์ เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีการลงทุนในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย ยุโรป จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มากกว่า 80 เมือง ทั่วทวีปเอเชีย ออสเตรเลีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
“ในระดับนานาชาติให้การยอมรับการพัฒนาเมือง และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศสิงคโปร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเชิงพาณิชย์ใจกลางเมือง เนื่องจากราคาที่ดินที่สูงมาก ทำให้ต้องใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าที่สุด จึงเกิดเป็นนวัตกรรมการใช้พื้นที่ที่น่าสนใจ และสามารถนำปรับใช้กับการพัฒนาโครงการในกรุงเทพฯ ที่มีราคาที่ดินขึ้นเฉลี่ยปีละ10 - 15% รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่พักอาศัย และอาคารสำนักงานเกรดเอ เป็นที่ชื่นชอบสำหรับเหล่านักลงทุนชาวสิงคโปร์ และนิยมลงทุนผ่านการซื้อหน่วยลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์”
สำหรับปี 2561 บริษัท ได้ตั้งเป้าให้เป็นปีแห่ง “การเพิ่มมูลค่า (Adding Value)” จากความมั่นใจในความแข็งแกร่งของ บริษัท ด้วยฐานะทางการเงินที่ดีขึ้น จึงมีความมั่นใจกำหนดเป้าหมายรายได้ของปี 2561 บริษัท ตั้งเป้าหมายรายได้รวม 17,800 ล้านบาท ซึ่งสินค้าแนวราบระดับกลาง ได้แก่ บ้านเดี่ยว ราคา 7-10 ล้านบาท บ้านแฝดราคา 4-7 ล้านบาท และทาวน์โฮมราคา 2-4 ล้านบาท จะเป็นสินค้าหลักของบริษัท และบริษัท ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการสามย่านมิตรทาวน์ ซึ่งคาดว่าในปี 2561 งานก่อสร้างจะคืบหน้ากว่า 60%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,338 วันที่ 8 - 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
