เดอะเฟสชอป กางแผนธุรกิจปี 61 เดินหน้าปูพรมสาขาทั่วไทยให้ครบ 110 แห่ง ดันเป้าหมายเติบต พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ คนไทยคนแรกของแบรนด์ “แต้ว ณฐพร” หวังเป็นตัวกระตุ้นตลาดสินค้าใหม่กลุ่ม “คูชชั่น” ยอดขายทะลุ 5-6 แสนตลับ
[caption id="attachment_234282" align="aligncenter" width="503"]
นายพิธาน องค์โฆษิต[/caption]
นายพิธาน องค์โฆษิต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีเอฟเอส (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเดอะเฟสชอปอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2561 ว่า ได้เตรียมขยายร้านเดอะเฟสชอปให้ ครบ 110 แห่ง จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายได้ครบ 83-85 แห่ง โดยใช้งบลงทุนสาขาละ 1.5-2 ล้านบาท หรือประมาณ 50 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังวางแผนขยายร้านเนเชอรัล คอลเลคชั่น ซึ่งเป็นร้านมันติแบรนด์ของบริ ษัทอีก 7-8 แห่ง โดยการขยายสาขาจะมุ่งไปยังตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้ขยายสาขาครอบคลุมจำนวนมากแล้ว ส่วนเป้าหมายด้านยอดขายในปีหน้าคาดว่าจะมีประมาณ 850-900 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมียอดขาย 650 ล้านบาท ซึ่ง 10 เดือนแรกที่ผ่านมาทำยอดขายได้ 600 ล้านบาทแล้ว
ส่วนแผนการตลาดในช่วงปลายปีนี้ บริษัทได้เปิดตัวแบรนด์ แอมบาสเดอร์ของเดอะเฟสชอป “แต้ว ณฐพร” ซึ่งเป็นคนไทยคนแรกของแบรนด์ เดอะเฟสชอป ขณะที่ประเทศต่างๆ ที่แบรนด์เดอะเฟสชอปทำตลาดนอกเกาหลี ยังคงใช้ศิลปินเกาหลีเป็นพรีเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มคูชชั่นอีก 3 รายการ จากปกติมีสินค้าจำหน่ายก่อนหน้านี้ 3 รายการ ซึ่งผลิตภัณฑ์คูชชั่นที่เปิดตัวครั้งนี้คาดว่าจะทำยอดขายได้ รวม 5-6 แสนตลับ หรือคิดเป็นมูลค่า 250-300 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาได้เริ่มจำหน่ายคูชชั่นและมียอดขายกว่า 2 แสนตลับ
“การเลือกแต้ว ณฐพร มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะกลุ่มเป้าหมายในต่างจังหวั ดรู้จัก ให้ความนิยมและชื่นชอบนั กแสดงไทยมากกว่านักแสดงเกาหลี ทำให้เดอะเฟสชอปประเทศไทย ซึ่งเดิมใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ ชาวเกาหลีตามนโยบายของบริษัทแม่ ตัดสินใจเลือกใช้แบรนด์ แอมบาสเดอร์ชาวไทยแทนโดยได้รั บความเห็นชอบจากบริษัทแม่ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ เดอะเฟสชอปใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่ไม่ใช่ชาวเกาหลี โดยบริษัทเตรียมงบประมาณการตลาด 80-90 ล้านบาท พร้อมกับเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุด Miracle Finish Cushion ที่จะเผยแพร่พร้อมกันทั่ วประเทศผ่านสื่อออฟไลน์ และออนไลน์
ส่วนภาพรวมธุรกิจเครื่องสำอางและบำรุงผิว ในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติ บโต 11% หรือมีมูลค่าประมาณ 2.7 แสนล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มสกินแคร์ 7 หมื่นล้านบาท และกลุ่มเมคอัพอีก 2 แสนล้านบาท โดยภาพรวมตลาดมีอัตราการเติบโตลดลงจากปีที่ผ่านมา ที่มีอัตราการเติบโต 15% หรือมีมูลค่ากว่า 2.5 แสนล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันสภาพตลาดเริ่มเข้าสู่สภาวะการอิ่มตัวของผู้บริโภค