บล.ทิสโก้คาดต่างชาติจ่อทำกำไรหุ้นไทย แนะทยอยเก็บรอขายปีหน้า

06 พ.ย. 2560 | 04:52 น.
บล.ทิสโก้ชี้เดือน พ.ย.-ธ.ค. ต่างชาติเตรียมเทขายหุ้นไทย หอบผลตอบแทนกลับบ้านกว่า 20% แนะฉวยจังหวะซื้อหุ้นเก็บรอขายปีหน้าที่นิวไฮ 1,850 จุดในไตรมาส 1/2561 คาดเดือนนี้เห็น DOWJONES ตกหนักช่วงสภาคองเกรสประกาศผ่านกฎหมายปฏิรูปภาษี

[caption id="attachment_227881" align="aligncenter" width="335"] นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล[/caption]

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยในงานสัมมนา TISCO Monthly Guru Updates ว่า จากการเก็บสถิติพบว่ามีโอกาส 80% ที่นักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นไทยในช่วงเดือนพ.ย.และเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการขายสุทธิก่อนหยุดยาวปลายปี ขณะที่หุ้นไทยยังปรับขึ้นมาแล้ว 5 เดือนติด โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันหุ้นไทยให้ผลตอบแทนแล้วประมาณ 20% (ดัชนีปรับขึ้น 12% และกำไรจากค่าเงิน 8%) ประกอบกับมีปัจจัยความไม่แน่นอนจากต่างประเทศรุมเร้าทำให้นักลงทุนต่างชาติมีโอกาสขายเพื่อล็อกผลกำไรไว้ก่อน

ทั้งนี้ แรงเทขายดังกล่าวไม่ใช่เรื่องน่ากังวลนักเนื่องจากจะมีแรงซื้อจากกอง LTF และ RMF ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เข้ามาช่วยพยุงดัชนีไว้ ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีประเมินกรอบแนวรับไว้ที่ 1,700-1,680 จุด เป้าหมายปลายปี 2560 ที่ 1,750 จุด และคาดว่าจะเห็นหุ้นไทยแตะ 1,850 จุดได้ในไตรมาสที่ 1/2561 จึงควรใช้โอกาสที่หุ้นย่อตัวในเดือนพ.ย.ทยอยเก็บหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET 50 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 หุ้นที่ปรับขึ้นน้อยกว่าตลาด และขายทำกำไรเมื่อดัชนีทำจุดสูงสุดในปี 2561

สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะได้รับคัดเลือกเข้าไปอยู่ใน SET 50 Index สำหรับงวดครึ่งปีแรกของปี 2561 เบื้องต้นคาดว่ามี 3 ตัวคือ TPIPP, SAWAD และ CENTEL ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET 100 คาดว่ามี 11 ตัวคือ TPIPP, ESSO, TTW, HANA, ORI, WHAUP, PLAT, KSL, SPCG, GOLD, COL เราแนะนำให้เลือกซื้อหุ้นที่น่าสนใจก่อนประกาศผลและขายเมื่อข่าวออกมา

บาร์ไลน์ฐาน อย่างไรก็ตาม จากการติดตามความเคลื่อนไหวหุ้นทั่วโลกพบว่า ขณะนี้หุ้นทั่วโลกทำจุดสูงสุดใหม่เกือบทุกตลาดสะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในภาวะฟองสบู่ และจะยังคงอยู่ในภาวะดังกล่าวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2561 แต่สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นแรงนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปี 2559 ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับลดลงบ้างประมาณ 500 จุดโดยเฉพาะในช่วงที่สภาครองเกรสประกาศผ่านกฎหมายปฏิรูปภาษี เพราะนักลงทุนจะอาศัยจังหวะที่มีข่าวดีขายทำกำไรออกมา

“หากวัดผลตอบแทนจากเดือนพ.ย. 2559 ในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จนถึงปัจจุบันหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 20% โดยตลาดที่ให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับ 25-30% คือ DOWJONES, NASDAQ, DAX, NIKKEI และ SOUTH KOREA ตลาดที่ให้ผลตอบแทน 20-25% คือ KOSPI, HANG SENG และ EURO STOXX 50 ขณะที่ SET 50 ให้ผลตอบแทน 16% และตลาดที่ให้ผลตอบแทน 10-15% คือ SET, PHILLPINES, INDONESIA และ CHAINA A SHARES เมื่อดูระดับ P/E จะพบว่าอยู่ในระดับสูงเกือบทุกตลาด กล่าวได้ว่าหุ้นทั่วโลกอยู่ในระดับแพงจากภาวะฟองสบู่ ทำให้นักลงทุนยอมรับ Forward P/E ที่แพงขึ้น หากนักลงทุนต้องการลงทุนหุ้นต่างประเทศแนะนำให้หาจังหวะเข้าลงทุนใน Chaina H Share ซึ่งมี P/E ต่ำสุดหรือที่ประมาณ 8.22 เท่า ขณะที่ S&P500 อยู่ที่ 18.04 เท่า” นายวิวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ งานสัมมนาTISCO Monthly GURU Updatesเป็นหนึ่งในกิจกรรมสัมนาที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนเพื่อเผยแพร่บทวิเคราะห์และทิศทางการลงทุนเพื่อช่วยให้ลูกค้าทิสโก้และนักลงทุนบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ตามกลยุทธ์การเป็นผู้แนะนำการลงทุนชั้นนำ หรือTop Advisory Houseของทิสโก้ e-book-1-503x62