5 แบงก์ใหญ่สตาร์ทป้องกันปัญหาอนาคตตามบาเซลIII

26 ก.ย. 2560 | 13:25 น.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผย 5 แบงก์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบทุกธนาคารมีอัตราเงินกองทุนฯสูงกว่าเกณฑ์ธปท.กำหนดทั้งปัจจุบันและที่ต้องดำรงในปี2560อยู่แล้ว - ชี้เป็นจุดเร่ิ่มต้นเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

- 26 ก.ย. 60 - ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดรายชื่อธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ หรือ D-SIBs … มาตรฐานสากลเพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ระบบเศรษฐกิจการเงินไทย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ประกาศธปท. เรื่อง “แนวทางการระบุและการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ” (Domestic Systemically Important Banks หรือ D-SIBs) และเรื่อง “รายชื่อธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ” ซึ่งมีธนาคารพาณิชย์ไทย 5 แห่งถูกกำหนดให้เป็น D-SIBs นั้น เป็นไปตามมาตรฐานการกำกับดูแลสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ Basel III ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงของวิกฤตในอนาคต หลังจากที่ประเทศต่างๆ ได้ผ่านพ้นวิกฤตซับไพร์ม DSIBs

สำหรับประเทศไทย ประกาศของธปท. เกี่ยวกับแนวทางการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่เป็น D-SIBs ดังกล่าว จึงเสมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินการเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตตามมาตรฐานสากล Basel III อันเป็นการช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพให้ระบบการเงินของไทย ทั้งนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยในปัจจุบัน มีความแข็งแกร่งตามมาตรฐานสากลอยู่แล้ว โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio: CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1 Ratio) อยู่ที่ 17.9% และ 15.2% ตามลำดับ

สำหรับธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งที่ธปท. กำหนดให้เป็น “ธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ” นั้น พบว่า ทุกธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนฯ ที่สูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท. กำหนดทั้งในปัจจุบัน และที่ต้องดำรงในปี 2563 อยู่แล้ว e-book