บทเรียนจากอดีตสู่มิติใหม่ ของการกำกับสถาบันการเงิน (ตอน1)

10 ส.ค. 2560 | 23:20 น.
MP27-3286-ACC “หากการสะสมความเสี่ยงถือเป็นรากเหง้าของการเกิดวิกฤติ การบริหารความเสี่ยง (Risk management) ก็ถือเป็นหัวใจของการกำกับดูแลสถาบันการเงิน”

คงไม่มีใครปฏิเสธว่าวิกฤติการณ์ทางการเงินทั่วโลกที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งความเสียหายทางเศรษฐกิจที่มีความรุนแรงและส่งผลกระทบในวงกว้าง และแม้ว่าทั้งภาครัฐและเอกชนพยายามจะหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก แต่วิกฤติการเงินก็ยังคงเกิดขึ้นได้ซํ้าแล้วซํ้าอีก นั่นไม่ใช่เพราะผู้คนไม่เรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต แต่วิกฤติการเงินมักจะเกิดขึ้นในรูปแบบที่ต่างกันออกไป นอกจากนี้ ประสบการณ์ในอดีตอาจทำให้ผู้คนคิดว่าประเทศกำลังพัฒนามีความเสี่ยงมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่วิกฤติการเงินครั้งล่าสุดในปี 2008 ทำให้เห็นว่าวิกฤติการเงินสามารถเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้วและมีผลกระทบที่รุนแรงมากไม่แพ้กัน และหากเราคิดทบทวนดูจะพบว่าสาเหตุของวิกฤติการเงินในแต่ละครั้งจะมีความคล้ายคลึงกันตรงที่เกือบทั้งหมดจะเกิดจาก “ความเสี่ยงที่ได้มีการสะสมมาในช่วงก่อนหน้าโดยผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้ตระหนักว่าจะทำให้เกิดวิกฤติการเงิน”

MP27-3286-Azz ++ธปท. สถาบันการเงิน กับการบริหารความเสี่ยง
การยอมรับและสะสมความเสี่ยงถือเป็นธรรมชาติของการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน กล่าวคือ ในช่วงที่เศรษฐกิจดีสถาบันการเงินมักจะอนุมัติสินเชื่อจำนวนมากและในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีสถาบันการเงินจะเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพราะผู้กู้มีความน่าเชื่อถือที่ลดลง หรือเรียกว่า “Procyclicality” นอกจากนี้การกำกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมที่เน้น “การปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้ (Compliance-based)” ก็มีส่วนซํ้าเติมการเป็น Procyclicality ของสถาบันการเงินในทางอ้อม นั่นคือ ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี หน่วยงานที่กำกับดูแลสถาบันการเงินจะไม่สนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อจำนวนมากโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงอย่างรัดกุมเพราะอาจทำให้ธนาคารพาณิชย์มีฐานะเงินกองทุนเสื่อมลงตามคุณภาพของสินเชื่อและอาจมีผลขาดทุนในช่วงวิกฤติ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจไม่มีสภาพคล่องในระบบและย้อนกลับมาทำให้มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

หากการสะสมความเสี่ยงถือเป็นรากเหง้าของการเกิดวิกฤติการเงิน การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ก็ถือเป็นหัวใจของการกำกับดูแลสถาบันการเงิน โดย ธปท. ได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการกำกับดูแลสถาบันการเงินโดยมุ่งเน้นการกำกับแบบ Risk-based เพื่อให้มั่นใจว่าสถาบันการเงินมีระบบการบริหารและการควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างเพียงพอและเหมาะสมกับความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งได้มีการปรับกฎเกณฑ์การกำกับดูแลภายใต้แนวคิด“Countercyclical Financial Regulation” เพื่อเตรียมความพร้อมและป้องกันความเสี่ยงที่จะก่อตัวขึ้นในอนาคต

โดยการให้สถาบันการเงินกันเงินสำรองเพิ่มขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจดีเพื่อรองรับความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัว รวมถึงการกำหนดให้สถาบันการเงินต้องดำรงเงินกองทุนขั้นตํ่าตามกฎหมายและดำรงเงินกองทุนส่วนเพิ่มเพื่อรองรับความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจขาลง (ตอนหน้า VUCA กับการปรับเกณฑ์กำกับสถาบันการเงิน)

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอด คล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,286 วันที่ 10 -12 สิงหาคม พ.ศ. 2560