คันทรี่กรุ๊ปรุกครั้งใหญ่ซื้อธุรกิจในยุโรปขยายพอร์ตอสังหาฯ-พลังงาน

05 ส.ค. 2560 | 07:28 น.
หลังจากที่ คันทรี่ กรุ๊ป ปรับโครงสร้างธุรกิจสู่การเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ก็ได้มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

นายทอมมี่ เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) หรือ ซีจีเอช เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังการปรับบริษัทเป็นโฮลดิ้ง บริษัทได้ทำแผนพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ โดยแบ่งการลงทุนเป็น 2 ประเภท กลุ่มหลักที่จะลงทุน คือ การซื้อบริษัทที่มีโอกาสในการเติบโต หรือมีจุดเด่นที่น่าสนใจ นำมาถือทั้งในระยะกลางและระยะยาว แล้วสร้างให้เกิดผลกำไร และอีกกลุ่มคือ จะนำเงินที่เป็นสภาพคล่องของบริษัท ไปลงทุนในหลายๆ รูปแบบ เพื่อทำให้เงินสดที่มีสภาพคล่องเพิ่มมูลค่ามากขึ้น

[caption id="attachment_75536" align="aligncenter" width="335"] ทอมมี่ เตชะอุบล ทอมมี่ เตชะอุบล[/caption]

“ทรัพย์สินของเราประมาณกว่า 6 พันล้าน พอร์ตลงทุนเราประมาณกว่า 1,000 ล้าน นี่เป็นการลงทุนเงินสภาพคล่อง ซึ่งเราแบ่งแยกเป็นหลายๆ โปรดักต์ ทิศทางต่อไปเรารอควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions : M&A) อย่างเดียว ตอนนี้เราทำงานหนักมากที่จะหาโอกาสลงทุนโครงการใหญ่ๆ” นายทอมมี่ กล่าว

การลงทุนที่มองอยู่ มีทั้งเรื่องของ พลังงานทดแทน อสังหาริมทรัพย์ และด้าน Hospitality ซึ่งขณะนี้ กำลังมองอยู่ 2-3 ธุรกิจใหญ่ๆ ที่ในยุโรป รวมทั้งบริษัทอื่นๆ ที่มีการเติบโตที่ดี ส่วนความคืบหน้าของโครงการคาเพลลา โครงการมิกซ์ยูสสุดหรูมูลค่าโครงการกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท

ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมสูง 73 ชั้น และโรงแรมระดับเวิลด์คลาส “เจ้าพระยา เอสเตท” ตั้งอยู่บนเนื้อที่โครงการกว่า 35 ไร่ บริเวณริมฝั่งตะวันออกของแม่นํ้า เจ้าพระยา ที่บริหารงานโดยบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (CGD) และบริษัท โฟร์ซีซั่นส์ โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ทส์ฯ

MP33-3284-A ทั้งนี้ บริษัท โฟร์ซีซั่นส์ โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ทส์ฯ จะทำหน้าที่บริหารทั้งโรงแรมและเรสิซิเดนซ์ รวมทั้งพื้นที่โดยรอบ ที่จะจัดเป็นศูนย์รวมร้านอาหารดัง ในราคาที่จับต้องได้ โดยโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ มีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2561ไตรมาส 3 ขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 60%

สำหรับคอนโดมิเนียมขนาดสูง 73 ชั้น ราคาขายอยู่ที่ 3.5 แสนบาทต่อตารางเมตร ขณะนี้มียอดขายกว่า 65% และมีรายได้คืนทุนเรียบร้อยแล้ว ในจำนวนยอดขายที่ขายได้คิดเป็นสัดส่วนลูกค้าต่างชาติประมาณ 50% และคนไทยประมาณ 50% พื้นที่รอบคอนโดมิเนียมและโรงแรม จะมีทางเดินขนาด 200-300 เมตร พร้อมด้วยร้านอาหาร เมื่อเปิดบริการครบทั้งโครงการ พื้นที่นี้จะกลายเป็นเมืองเล็กๆ สำหรับการพักผ่อน

นอกจากนี้ CGD ยังมีการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ฉะเชิงเทรา เป็นโครงการรีเทล ที่รวมร้านค้า สถานีให้บริการนํ้ามัน (ปั๊มปตท.) และตลาด บนเนื้อที่ 80 ไร่ มูลค่าโครงการเกือบ 2,000 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2561 รายได้ของกลุ่ม CGD จะเติบโตมากอย่างแน่นอน จากเมื่อก่อนที่กลุ่มบริษัท มีรายได้ 100% จากหลักทรัพย์ แต่ขณะนี้สัดส่วนรายได้หลักทรัพย์จะลดลงเรื่อยๆ ขณะที่รายได้จากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และพลังงานทดแทนจะเติบโตขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้ทุกธุรกิจที่ไปลงทุนใหม่จะต้องมีผลตอบแทนมากกว่า 15%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,284 วันที่ 3 -5 สิงหาคม พ.ศ. 2560