“บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 สั่งระงับ “ปฏิบัติหน้าที่-ย้ายช่วยราชการ” 70 ขรก.-ปลัดอปท.-ผอ.สถานศึกษา

25 ก.ค. 2560 | 23:38 น.
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 35/2560 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 9 ระบุว่า ตามที่มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว ลงวันที่ 15 พฤษภาคม พุทธศักราช 2558 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2558 เรื่อง แต่งตั้งและให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อื่น ลงวันที่ 25 มิถุนายน พุทธศักราช 2558 นั้น โดยที่หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบได้เสนอรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับ

เจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบ เนื่องจากถูกร้องเรียนหรือกล่าวหาว่าใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายจากการปฏิบัติหน้าที่จนเกิดความเสียหายแก่ทางราชการและมีมูลอันสมควรตรวจสอบตามที่องค์กรซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบรายงานพฤติการณ์และเสนอเรื่องมาจึงจำเป็นต้องประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐและกำหนดมาตรการบางอย่างเพิ่มเติม

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ผู้ที่มีรายชื่อในกลุ่มที่ 1 ผู้บริหารสถานศึกษา ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้

ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในตำแหน่งเดิมเป็นการชั่วคราว

ข้อ 2 ให้ผู้ที่มีรายชื่อในกลุ่มที่ 2 ข้าราชการพลเรือน และผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 3

พนักงานอื่นของรัฐ ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในตำแหน่งเดิมเป็นการชั่วคราว และไปปฏิบัติราชการประจำหน่วยงานนั้นตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย

ข้อ 3 ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 4 ผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ ระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำรงตำแหน่งอยู่เป็นการชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน

ข้อ 4 ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 5 ข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ ไปช่วยราชการที่ศาลากลางจังหวัดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นตั้งอยู่หรือสถานที่ราชการอื่นในจังหวัดนั้น ๆ ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนด แต่ต้องมิใช่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่อยู่เดิม โดยไม่ต้องมีคำร้องขอ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็นผู้บังคับบัญชามีอำนาจมอบหมายให้ผู้นั้นปฏิบัติงานตามความเหมาะสมในกรณีนี้ มิให้บุคคลดังกล่าวได้รับเงินประจำตำแหน่งและสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการชั่วคราว ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พ.ศ.2555 อันเนื่องจากการไปช่วยราชการตามคำสั่งนี้

ข้อ 5 นอกจากการระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในตำแหน่งเดิม หรือการไปช่วยราชการตามที่กำหนดในข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 และข้อ 4 แล้ว ให้ผู้ที่มีรายชื่อในกลุ่มที่ 1 ถึงกลุ่มที่ 5 ยุติการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับแต่งตั้งอันเนื่องจากการปฏิบัติราชการ หรือหน้าที่ในตำแหน่งเดิมทั้งหมดด้วย

ข้อ 6 ให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) แจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุแห่งการตรวจสอบการปฏิบัติราชการของผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 1 ถึงกลุ่มที่ 5 ให้หน่วยงานทราบเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยต้องปรากฏผลให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจาก ศอตช. เพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้นั้นหรือเพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไป ในกรณีที่ไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้รายงานรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น แล้วแต่กรณี เพื่อขยายเวลาได้ตามความจำเป็น

ข้อ 7 ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อ 6 หากไม่พบว่ามีการกระทำความผิดหรือไม่ถึงขั้นต้องดำเนินการทางวินัยให้ผู้บังคับบัญชาสรุปผลการตรวจสอบและพยานหลักฐานที่มีอยู่แล้วแจ้งให้ศอตช. ทราบ ในการนี้ ให้ประธาน ศอตช. แต่งตั้งคณะบุคคลซึ่งเป็นหรือมิได้เป็นข้าราชการ ไม่มีข้อขัดแย้งหรือส่วนได้เสียกับบุคคลหรือเรื่องที่มีการกล่าวหา และไม่เคยเป็นผู้ตรวจสอบเรื่องนี้มาก่อนมีจำนวน 3 ถึง 5 คน เพื่อตรวจสอบเปรียบเทียบผลการตรวจสอบเดิมของผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกตรวจสอบกับรายงานหรือพยานหลักฐานที่มีอยู่อีกครั้งหนึ่ง และให้มีอำนาจเชิญบุคคลมาให้ถ้อยคำได้โดยคณะบุคคลดังกล่าวอาจตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกตรวจสอบแต่ละรายหรือหลายรายพร้อมกันก็ได้ ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งในกรณีที่ผลการตรวจสอบพบว่าการตรวจสอบของผู้บังคับบัญชาถูกต้องแล้ว หรือไม่มีเหตุอันควรเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้แจ้งผู้บังคับบัญชาทราบ ในกรณีที่ผลการตรวจสอบไม่สอดคล้องกับผลการตรวจสอบเดิมของผู้บังคับบัญชา และมีเหตุอันควรเปลี่ยนแปลง ให้สรุปพยานหลักฐานที่มีอยู่และหารือร่วมกับผู้บังคับบัญชาแล้วให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามผลการหารือ โดยถือว่าการดำเนินการตามคำสั่งนี้ทุกขั้นตอนเป็นการดำเนินการทางวินัย โดยชอบด้วยกฎหมายสำ หรับข้าราชการนั้น ๆ แต่ไม่ตัดสิทธิที่ผู้ถูกตรวจสอบจะอุทธรณ์ต่อไป ตามกฎหมาย หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความผิดอาญาให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

ข้อ 8 เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ 7 แล้ว ในกรณีไม่ปรากฏว่าผู้ถูกตรวจสอบมีความบกพร่องใด ๆ ในการปฏิบัติงาน หรือไม่มีมูลความผิดทางวินัยหรือความผิดอาญาหรือมีความผิดวินัยแต่มิใช่เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงจึงมีเหตุอันควรงดโทษหรือรับโทษสถานเบาขั้นภาคทัณฑ์ ให้เยียวยา โดยให้ผู้ถูกตรวจสอบไปดำรงตำแหน่งในระดับเดิมตามความเหมาะสม แต่ให้อยู่นอกพื้นที่เดิม ยกเว้นผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 4 และกลุ่มที่ 5 ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ ให้กลับไปดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่เดิมได้ ทั้งนี้ ศอตช. อาจมีคำแนะนำการเยียวยาด้วยก็ได้ โดยคำนึงถึงข้อมูลความเหมาะสมเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่และพื้นที่ใหม่ การให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกตรวจสอบ และประโยชน์ของทางราชการประกอบกัน

ข้อ 9 ในกรณีจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีเปลี่ยนแปลงคำสั่ง หากปรากฏว่าผู้มีรายชื่อตามคำสั่งยังคงถูกดำเนินการตรวจสอบจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้ ศอตช. รอผลการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จนกว่าจะแล้วเสร็จหรือได้รับแจ้งให้ดำเนินการเยียวยาไปก่อนได้ จึงจะสามารถเสนอนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการในกรณีของผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๓ พนักงานอื่นของรัฐ คำว่า ผู้บังคับบัญชา ให้หมายถึงเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง และคำว่า รัฐมนตรี ให้หมายถึงประธานกรรมการการเลือกตั้ง สำหรับผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ 4 ผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คำว่า ผู้บังคับบัญชา ให้หมายถึงผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้อง และคำว่า รัฐมนตรี ให้หมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในกรณีเยียวยาบุคคลดังกล่าว ซึ่งไม่อาจไปดำรงตำแหน่งอื่นนอกพื้นที่ได้ นายกรัฐมนตรีอาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้โดยให้ไปปฏิบัติงานในตำแหน่งเดิมได้

ข้อ 10 ในกรณีที่ชื่อและตำแหน่งของผู้มีรายชื่อตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ไม่ตรงตามทะเบียนประวัติของทางราชการแต่เห็นได้ว่าเป็นบุคคลเดียวกัน ให้หน่วยงานต้นสังกัดแจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตรงตามที่เป็นจริงในปัจจุบัน

ข้อ 11 การรับเงินเดือน สิทธิประโยชน์ หรือประโยชน์ตอบแทนใด ๆ ของผู้มีรายชื่อในกลุ่มต่าง ๆ ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ

ข้อ 12 ในกรณีมีปัญหาให้องค์กรบริหารงานบุคคลกลางที่เกี่ยวข้องกับผู้มีรายชื่อตามคำสั่งเสนอปัญหาและแนวทางดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีวินิจฉัย คำวินิจฉัยของนายกรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด

ข้อ 13 นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี อาจมีคำสั่งหรือมติเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้ตามที่เห็นสมควร

ข้อ 14 คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ 25 กรกฎาคม พุทธศักราช 2560

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

 

สำหรับบัญชีแนบท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 35/2560

 

กลุ่มที่ 1 ผู้บริหารสถานศึกษา (จำนวน 1 ราย)

1. นายสุนิตย์ ธรรมประพัทธ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพบางแก้วอำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง

 

กลุ่มที่ 2 ข้าราชการพลเรือน (จำนวน 6 ราย)

1. นายสถิตย์ อินทามระ ผู้ตรวจราชการ กรมโยธาธิการและผังเมือง

2. นายจำรัส สวนจันทร์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานศรีสะเกษ

3. นายสมพงษ์ เชิดชูพงศ์ล้ำ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลห้วยราชอำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์

4. นายสัจจา พุกสุขสกุล โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสระบุรี

5. นายโกเมนทร์ ทิวทอง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์

6. นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มศูนย์เทคโนโลยีและสารสนเทศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

 

กลุ่ม 3 พนักงานอื่นของรัฐ (จำนวน 2 ราย)

1. นายสุชาติ ใจภักดี ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบูรณ์

2. นายกฤษเรศ วังทะพันธ์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน

 

กลุ่มที่ 4 ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (จำนวน 37 ราย)

1. นายอัครเดช ทองใจสด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์

2. นายชาญ พวงเพ็ชร์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีอำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี

3. นายธนาวุฒิ ทิมสุวรรณ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลยอำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย

4. นายชัยมงคล ไชยรบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนครอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร

5. นายสุทัศน์ เรืองศรี รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานีอำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี

6. นายเชาวน์วัศ เสนพงศ์ นายกเทศมนตรีนครศรีธรรมราชอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช

7. นายปิยะศักดิ์ ยโสธนชัย นายกเทศมนตรีเมืองแม่โจ้อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่

8. นางสุกานดา สุทธิพัฒนกุล นายกเทศมนตรีเมืองจันทบุรีอำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี

9. นายประเสริฐ ค่ายทอง นายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวงอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

10. นายวิเชียร อุดมศักดิ์ นายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญอำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ

11. นายชูโชติ โกยกุล นายกเทศมนตรีเมืองพังงาอำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา

12. นายกรชัย กุลศรีวรทัย นายกเทศมนตรีเมืองอรัญญประเทศอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว

13. นายจรัส ไชยยา นายกเทศมนตรีเมืองเมืองแกนพัฒนาอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

14. นายวิทยา ศุภศิริโภคา นายกเทศมนตรีตำบลดอนยายหอมอำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม

15. นายลือกฤต เพชรบดี นายกเทศมนตรีตำบลสำโรงเหนืออำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

16. นายสมพงษ์ ธรรมเจริญ นายกเทศมนตรีตำบลลำพญาอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม

17. นายทิวา บุญยก นายกเทศมนตรีตำบลนาโพธิ์พัฒนาอำเภอสวี จังหวัดชุมพร

18. นายไพรัช ยงคำชา นายกเทศมนตรีตำบลท่าแร่อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร

19. นางสาวศิรประภา เต็มธนกิจไพศาล นายกเทศมนตรีตำบลลำน้ำพองอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น

20. นางวรพงศ์ ฮอมหนัก นายกเทศมนตรีตำบลแม่ต้านอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก

21. นายนิยม นุ่นแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลเนินสันติอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร

22. นายอำพนธ์ เพชรชู นายกเทศมนตรีตำบลท่าทองใหม่อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

23. นายสิทธิชัย เจริญธนะจินดา นายกเทศมนตรีตำบลท่าเสาอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์

24. นายพงษ์พิพัฒน์ เต็มธนกิจไพศาล รองนายกเทศมนตรีตำบลลำน้ำพอง