อาลีบาบา กรุ๊ป แนะเอสเอ็มอีปรับทิศทางรับ “Made in Internet”

13 ก.ค. 2560 | 23:50 น.
นายแจ็ค หม่า ประธานบริหารของ อาลีบาบา กรุ๊ป แนะแนวทางให้ธุรกิจขนาดย่อมหันมาใช้อินเตอร์เน็ตและนวัตกรรมบิ๊กดาต้าอย่างสร้างสรรค์ เพื่อยกระดับระบบโลจิสติกส์ การเงิน และการประสานงานกับทั้งลูกค้าและคู่ค้า จนนำไปสู่การปรับรูปแบบธุรกิจให้เข้ากับโลกยุคใหม่ที่สินค้าไม่ได้ผลิตจากประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นผลงานจากกระบวนการสร้างสรรค์ที่ไร้พรมแดน จนเกิดเป็นนิยามใหม่ว่า “Made in Internet”

[caption id="attachment_179373" align="aligncenter" width="471"] นายแจ็ค หม่า ประธานบริหารของ อาลีบาบา กรุ๊ป นายแจ็ค หม่า ประธานบริหารของ อาลีบาบา กรุ๊ป[/caption]

นายหม่าได้ให้คำแนะนำดังกล่าวแก่ผู้ประกอบการและสื่อมวลชนจากทั้งประเทศจีนและทั่วโลก ในงานสัมมนา “Global Netrepreneurs Conference” ซึ่งทางอาลีบาบา กรุ๊ป จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เพื่อเปิดเวทีพบปะกับทุกภาคส่วนในวงการอีคอมเมิร์ซ ในโอกาสนี้ นายหม่ายังกล่าวคาดการณ์อีกว่าในช่วง 30 ปีข้างหน้า นวัตกรรมอินเตอร์เน็ต บิ๊กดาต้า คลาวด์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะพัฒนาศักยภาพไปอย่างรวดเร็วเหนือทุกความคาดหมาย จนกระทั่งทำให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในทศวรรษหน้านี้ โดยที่ผู้บริโภคหรือธุรกิจขนาดเล็กอาจกลายเป็นผู้กำหนดปัจจัยในการผลิตสินค้า หรือแม้แต่แนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์แทน ภายใต้โมเดลธุรกิจแบบ C2B (consumer-to-business) ที่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจากลูกค้า

“โครงสร้างธุรกิจแบบ C2B และการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าในระดับตัวบุคคล คืออนาคตของโลกธุรกิจในยุค ‘Made in Internet’ โดยคุณอาจจะออกแบบผลิตภัณฑ์ขึ้นในสหรัฐอเมริกา ไปเข้าสู่สายการผลิตในเยอรมนี ก่อนจะประกอบในจีน และส่งออกไปขายทั่วโลกก็เป็นได้” นายหม่ากล่าว “จุดมุ่งหมายของเราคือการสนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการ และผู้บริโภครุ่นใหม่ทุกเพศทุกวัย สามารถซื้อขาย ชำระเงิน และรับส่งสินค้าได้จากทุกที่ทั่วโลก”

เพื่อเป็นการตอบสนองต่อเทรนด์ใหม่นี้ นายหม่าได้เผยถึงรายละเอียดของกลยุทธ์ “Five News” ที่อาลีบาบา กรุ๊ปได้นำเสนอเป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมา โดยครอบคลุมแนวคิดใหม่ทั้งในด้านธุรกิจค้าปลีก ภาคการผลิต การเงิน เทคโนโลยี และพลังงาน ในอนาคต ตลาดค้าปลีกจะผสมผสานรูปแบบการทำธุรกิจของโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ในขณะที่ภาคการผลิตจะปรับรูปแบบการทำงานมาเป็นโมเดล C2B ส่วนภาคการเงินจะเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเงินทุนได้อย่างเท่าเทียมกัน ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการสามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจไว้ได้ด้วยบิ๊กดาต้าและคลาวด์ และข้อมูลในโลกดิจิทัลจะกลายเป็นพลังงานรูปแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกให้สามารถส่งมอบสินค้าถึงมือผู้บริโภคได้รวดเร็วกว่าที่เคย

นายแดเนียล จาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวเสริมอีกว่า “ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะไม่จำกัดอยู่แต่ในโลกออนไลน์เท่านั้น ปัจจุบัน ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีมูลค่าคิดเป็นอัตราส่วน 15% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมดในประเทศจีน แต่เราต้องมุ่งเป้าไปที่การเสริมศักยภาพให้กับตลาดค้าปลีกออฟไลน์อีก 85% ที่เหลืออยู่ด้วยเทคโนโลยีในโลกดิจิทัลที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าได้”

สำหรับแนวคิดเกี่ยวกับ “netrepreneur" หรือผู้ประกอบการในโลกออนไลน์นั้น เป็นผลงานการริเริ่มของนายแจ็ค หม่าในปี 2547 โดยนับจากนั้นเป็นต้นมา ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ก็ได้กลายเป็นแรงผลักดันที่สำคัญเบื้องหลังการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ในโลกธุรกิจมากมาย

“ผู้ประกอบการกลุ่ม ‘netrepreneur’ นี้ มีรูปแบบการทำงานที่หลากหลายมาก โดยบางคนก็เลือกที่จะทำงานครอบคลุมกระบวนการในฝั่งต้นน้ำเพื่อปรับเปลี่ยนสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยอาศัยข้อมูลพฤติกรรมในโลกออนไลน์ของผู้บริโภคเป็นปัจจัยในการพิจารณา ธุรกิจในกลุ่มนี้ต่างนำศักยภาพของอินเตอร์เน็ตและช่องทางการพัฒนาสินค้า ทำตลาด และเสนอขายสินค้าออนไลน์ของเรามาผสมผสานกันอย่างลงตัว จนไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ของผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างกระแสใหม่ๆ ในตลาดได้อีกด้วย” นายจางเผย

“ผู้บริโภคในปัจจุบันต่างต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง โดดเด่นไม่ซ้ำใคร และมีความหลากหลายในตลาด จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ธุรกิจขนาดเล็กจะสามารถเข้ามาเติมเต็ม เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตและขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว”