ก.ดิจิทัลฯ ตั้งคณะทำงานศึกษาทำแผนแม่บท Big Data

07 ก.ค. 2560 | 11:21 น.
กระทรวงดิจิทัลฯ ตั้งคณะทำงานฯ ศึกษาแนวทางการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบ Big Data ภาครัฐ เน้นใช้ประโยชน์ข้อมูลเพื่อพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งบริหารจัดการ-ตรวจสอบการใช้งบประมาณและรายได้ต่างๆ ของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ ยกระดับการให้บริการของภาครัฐ เกิดความร่วมมือจากภาคเอกชนมากขึ้น และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทุกด้าน

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อการศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบ Big Data ของภาครัฐ ขึ้น โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานคณะทำงาน มีรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นรองประธาน พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงานฯ อาทิ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสถิติแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กรมที่ดิน เป็นต้น รวมทั้งมีผู้แทนสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA  ร่วมเป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงานฯ สำหรับอำนาจหน้าที่ของคณะทำงานฯ ชุดนี้ คือ กำหนดกรอบแนวทางการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนา Big Dataของภาครัฐ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และกรอบระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งจัดทำแผนแม่บทฯ ให้สอดคล้องกับกรอบแนวทางดังกล่าว ตลอดจนออกแบบและพัฒนาระบบนำร่องที่สามารถนำไปใช้ได้จริงเพื่อการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม

เนื่องจากที่ผ่านมาพบปัญหาด้านข้อมูลของภาครัฐ เป็นข้อมูลที่ใช้เฉพาะหน่วยงาน มีระเบียบ/กฎหมายที่ไม่สามารถแบ่งปันหรือเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ รวมทั้งโครงสร้างข้อมูลมีความซับซ้อนใช้งานยากและขาดความน่าเชื่อถือ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องผลักดันให้มีแผนการบูรณาการการทำงานด้านระบบจัดเก็บข้อมูลใหม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการทำงานของภาครัฐสูงสุด สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งมีหลักในการทำงาน คือ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐ สนับสนุนนโยบายการทำงานในเชิงรุก ส่งเสริมการให้บริการประชาชน และตอบสนองได้ตรงตามความต้องการของประชาชน

“สำหรับเป้าหมายในการพัฒนาระบบ Big Data นั้น จะทำให้การใช้งบประมาณและเงินรายได้ต่างๆ ของภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้งบประมาณได้ดียิ่งขึ้น โดย Big Data จะช่วยคาดการณ์และวิเคราะห์ข้อมูลด้านต่างๆ ได้แม่นยำ อาทิ ข้อมูลการเสียภาษี ข้อมูลสาธารณสุข แนวโน้มอาชญากรรม เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับการบริการต่างๆ ที่ดีขึ้น อีกทั้งจะทำให้เกิดความร่วมมือจากภาคเอกชนมากขึ้นจากการนำข้อมูลไปใช้ และได้รับข้อมูลใหม่ๆ จากประชาชน (Crowd sourcing) หรือจากอุปกรณ์ IoT (Internet of Things)ตลอดจนเป็นการสร้างทักษะและผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลมากขึ้นด้วย นอกจากนั้นยังสามารถใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนในประเทศได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาปัญหาสำคัญข้อหนึ่ง คือ ข้อมูลความยากจนของคนในประเทศเป็นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกัน ไม่สามารถระบุข้อมูลผู้ที่มีรายได้น้อยได้อย่างถูกต้อง ใช้งบประมาณซ้ำซ้อนในการจัดสรรสวัสดิการ ทำให้ขาดข้อมูลสนับสนุนในการกำหนดนโยบายช่วยเหลือประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.พิเชฐ กล่าว