รถเช่าจับมือกูเกิลและแอปเปิลร่วมแจมรถไร้คนขับ

02 ก.ค. 2560 | 05:31 น.
บริษัทรถเช่า เอวิส และเฮิร์ตซ์ ประกาศทำข้อตกลงร่วมกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างกูเกิลและแอปเปิล เพื่อร่วมมือกันในธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับ สะท้อนถึงโอกาสสร้างแหล่งรายได้ใหม่ของบริษัทรถเช่าในธุรกิจนี้

บริษัทรถเช่าเริ่มเข้ามามีบทบาทในธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับ และอาจจะเป็นการส่งสัญญาณถึงความร่วมมือที่ลึกซึ้งมากขึ้นระหว่างบริษัทรถเช่ารูปแบบดั้งเดิมและบริษัทเทคโนโลยีในธุรกิจดังกล่าว โดยบริษัท เอวิส บัดเจ็ต กรุ๊ป ได้บรรลุข้อตกลงบริหารจัดการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจำนวน 600 คันของเวย์โม ซึ่งเป็นธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับในเครือของบริษัท อัลฟาเบ็ต บริษัทแม่ของกูเกิล ขณะเดียวกัน แอปเปิลทำสัญญาเช่ารถยนต์เล็กซัส เอสยูวี จำนวน 6 คันจากบริษัท เฮิร์ทซ์ โกลบอล โฮลดิ้งส์ เพื่อนำมาทดสอบเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ

[caption id="attachment_172385" align="aligncenter" width="503"] รถเช่าจับมือบ.เทคฯ ร่วมแจมรถไร้คนขับ รถเช่าจับมือบ.เทคฯ ร่วมแจมรถไร้คนขับ[/caption]

ความร่วมมือกับเอวิสและเฮิร์ทซ์แสดงให้เห็นว่า บริษัทเทคโนโลยีอย่างแอปเปิลและเวย์โมพร้อมที่จะจับมือเป็นหุ้นส่วนกับผู้เล่นดั้งเดิมในธุรกิจรถยนต์ในการพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ แทนที่จะพยายามเบียดผู้เล่นดั้งเดิมเหล่านี้ให้ตกขอบ โดยนักวิเคราะห์มองว่าบริษัทเทคโนโลยีอาจจะต้องการเข้ามารุกธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับ แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นผู้ผลิต เป็นเจ้าของ หรือคอยดูแลรักษารถยนต์เหล่านี้ ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้กับบริษัทรถเช่า

"บางคนคิดว่าบริษัทเหล่านี้จะกลายเป็นเหยื่อ แต่พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถบริหารจัดการฟลีทรถยนต์ขนาดใหญ่ได้ รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติและบริการแชร์รถยนต์ไม่ใช้จุดจบของธุรกิจรถเช่า แต่อาจจะกลายมาเป็นแหล่งกำไรของบริษัทเหล่านี้ก็ได้" ไมเคิล มิลแมน ผู้ก่อตั้งบริษัทวิจัย มิลแมน รีเสิร์ช ให้ความเห็น

แหล่งรายได้ใหม่จากโอกาสในการจับมือกับผู้พัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับอาจจะเป็นทางรอดของอุตสาหกรรมรถเช่า ซึ่งที่ผ่านมามูลค่าในตลาดหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนมองว่าบริษัทเหล่านี้สูญเสียลูกค้าไปให้กับบริษัทแชร์รถยนต์ อาทิ อูเบอร์ และลิฟต์ ขณะที่มูลค่ารถยนต์ที่ขายทิ้งออกไปเมื่อหมดอายุให้บริการที่ลดลงก็ส่งผลกระทบให้อัตรากำไรหดตัว อย่างในปีที่ผ่านมา เฮิร์ตซ์รายงานผลประกอบการขาดทุน 491 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,275 วันที่ 2 - 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560