นับถอยหลังสู่วันพิพากษาคดีจำนำข้าว”‘ยิ่งลักษณ์’

16 มิ.ย. 2560 | 02:00 น.
การนัดสืบพยานจำเลย 42 ปาก 16 นัดในคดีหมายเลขดำที่ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลย ฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ กรณีปล่อยปละไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว จนรัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท งวดเข้ามาเป็นลำดับแล้ว

ในรอบปี 2560 นี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งนัดไต่สวนพยานจำเลยต่อเนื่องอีก 6 นัด โดยเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมาเป็นนัดที่ 12 ส่วนการนัดไต่สวนวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ให้เลื่อนนัดมาเป็นวันที่ 16 มิถุนายนตามที่นัดไว้เดิม และเพิ่มนัดวันที่ 19 มิถุนายน 2560

[caption id="attachment_162504" align="aligncenter" width="503"] นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี[/caption]

จากนั้นจะเหลือนัดไต่สวนพยานจำเลยอีกเพียงแค่ 2 นัดในเดือนถัดไป คือ วันที่ 7 และ 21 กรกฎาคม ซึ่งจะเป็นนัดไต่สวนพยานวันสุดท้าย ตามที่ศาลได้เคยขีดเส้นกำหนดเวลาไว้ ว่าให้ฝ่ายจำเลยบริหารเวลาให้อยู่ในกรอบดังกล่าว

ขั้นตอนถัดไปต้องรอฟังว่า ศาลจะอนุญาตให้นำพยานที่ถูกตัดออกในรอบแรก ซึ่งมีพยานโจทก์ 3 ปาก และพยานจำเลย 1 ปาก เข้าไต่สวนเพิ่มเติมหรือไม่ หากไม่มีคำสั่งก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการแถลงปิดคดีของโจทก์และจำเลย และรอวันศาลฯนัดอ่านคำพิพากษา ซึ่งคาดว่าน่าจะมีคำพิพากษาคดีนี้ได้ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

ช่วงนี้จึงเป็นระยะนับถอยหลังสู่การชี้ขาดคดีประวัติศาสตร์รับจำนำข้าว

ส่วนคดีระบายข้าวจีทูจี ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ฟ้องนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวก รวม 28 รายเป็นจำเลยนั้น ก็เดินหน้าตีคู่กันมา ศาลฎีกาฯ นัดไต่สวนพยานจำเลย 10 นัดที่เหลือภายในปี 2560 นี้เช่นกัน

โดย 5 นัดสุดท้ายคือ เดือนมิถุนายน 2 นัดในวันที่ 14 และ 28 มิถุนายน ส่วนเดือนกรกฎาคมอีก 3 นัด ในวันที่ 5 วันที่ 12 และวันที่ 19 กรกฎาคม เป็นนัดสุดท้าย

และเป็นที่คาดหมายว่า การนัดอ่านคำพิพากษาศาลในคดีนี้ก็น่าอยู่ในกรอบเวลาใกล้เคียงกับคดีรับจำนำข้าวของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ คือ ในช่วงเดือนกันยายนนี้เช่นกัน

จากนี้ไปจึงเป็นช่วงนับถอยหลังสู่การชี้ขาด 2 คดีใหญ่ที่น่าระลึกเกี่ยวเนื่องโครงการรับจำนำข้าว

TP16-3270-A อย่างไรก็ตาม ที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์พอจะเบาใจได้อยู่ก็บ้างคือ มาตรา 195 รัฐธรรมนูญใหม่ พ.ศ.2560 ที่เพิ่งประกาศใช้นั้น วรรคสี่ระบุว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา
และระบุต่อว่า ในการวินัยฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว ให้ดำเนินการโดยองค์คณะของศาลฎีกาซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา หรือผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาซึ่งไม่เคยพิจารณาคดีนั้นมาก่อน และได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจำนวน 9 คน โดยให้เลือกเป็นรายคดี และคำวินิจฉัยขององค์คณะให้ถือเป็นคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา

นั่นคือ หากจำเลยถูกพิพากษาว่ากระทำผิดตามฟ้อง ตามรัฐธรรมนูญใหม่ที่บังคับใช้แล้ว อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ นายบุญทรงและพวก ยังสามารถอุทธรณ์สู้คดีได้อีกรอบ

แต่ที่เดินหน้าไปแล้วคือ คำสั่งทางปกครองเรียกให้ชดใช้ความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นเงิน35,000 ล้านบาท นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ 1,768.9 ล้านบาท นายภูมิ สาระผล 2,242.5 ล้านบาท และนายมนัส สร้อยพลอย นายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง และทิฑัมพร นาทวรทัต คนละ 4,011.5 ล้านบาท เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผู้ถูกเรียกให้ชดใช้สินไหมทดแทนได้ฟ้องศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ส่วนคำขอคุ้มครองฉุกเฉินให้ระงับการยึดอายัดทรัพย์ระหว่างรอคำพิพากษาทางอาญานั้น ศาลปกครองสั่งยก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงเดินหน้าการยึดอายัดทรัพย์ตามขั้นตอนอยู่ในเวลานี้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,270 วันที่ 15 - 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560