‘พี.โอ.แคร์ รุกตลาดไทย/เทศ

24 พ.ค. 2560 | 06:00 น.
รีมกันแดด – สกินแคร์ กรุยทางสู่ตลาดหลักทรัพย์หวังโกยรายได้ 3,500 ล้านบาท พร้อมสยายปีกผนึกพาร์ทเนอร์บุกต่างประเทศ ชู "อาบูดาบี" สปริงบอร์ดรุกตะวันออกกลาง

นางสาวนิพา เดชมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พี.โอ.แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิวแบรนด์ "พี.โอ.แคร์" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ตลาดครีมกันแดดเมืองไทยปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูงขึ้น เนื่องมาจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดประกอบกับคนไทยเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพผิวโดยเริ่มมีการปรับพฤติกรรมการใช้ครีมกันแดดในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่แบรนด์ที่รุกทำตลาดส่วนใหญ่เป็นอินเตอร์แบรนด์มากกว่าแบรนด์ไทย อย่างไรก็ดีนับจากนี้บริษัทจะให้ความสำคัญในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรองรับการแข่งขันและสร้างการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วยการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 4 ปีนับจากนี้หลังจากดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 14 ปี พร้อมกับการเป็นบริษัทเครื่องสำอางแบรนด์ไทยแถวหน้าที่มีสินค้าหลากหลายครอบคลุมทั้งกลุ่มสกินแคร์ อาหารและเครื่องดื่มที่บำรุงสุขภาพและความงาม

"ปัจจุบันอัตราการใช้ครีมกันแดดของคนไทยมีเพียง 5% เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรและสภาพอากาศที่ร้อนจัด ขณะเดียวกันพฤติกรรมของชาวไทยในปัจจุบันเริ่มให้ความสำคัญกับการใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องป้องสุขภาพผิวมากยิ่งขึ้น ทำให้บริษัทมองว่าตรงนี้นับเป็นโอกาสทางธุรกิจในการสร้างการเติบโตทำให้บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตในปีนี้กว่า 20% จากปีที่ผ่านมาที่มีการเติบโต 10% ขณะที่ภาพรวมตลาดนับจากนี้ก็จะมีอัตราการเติบโตที่สูงตามไปด้วย"

สำหรับแผนการทำตลาดในประเทศปีนี้จะให้มุ่งเน้นการผลักดันผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดทุกช่องทางทั้งโมเดิร์นเทรด ร้านค้าทั่วไป ร้านขายยา E-commerce เพื่อสร้างการเข้าถึงไปยังกลุ่มเป้าหมายในทุกพื้นที่ ขณะเดียวกันจะสื่อสารแบรนด์ ผ่านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง ควบคู่ไปกับการจัดรายการส่งเสริมการขายแบบมัลติแบรนด์ คือ การใช้แบรนด์ในเครือที่มีอยู่อาทิ พี.โอ.แคร์,ออร์กรีน,พิงค์ไวท์ และช้างไทย ฯลฯ ในการทำโปรโมชั่นร่วมกัน เป็นต้น

ด้านตลาดต่างประเทศบริษัทจัดตั้งบริษัท พี.โอ.แคร์ อินเดีย ร่วมกับพาร์ทเนอร์นักธุรกิจชาวอินเดีย เพื่อนำสินค้าจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปีที่ผ่านมา ส่วนในปีนี้จะเริ่มรุกตลาดอย่างเต็มตัวทั้งการขยายช่องทางการจำหน่าย การสร้างกิจกรรมทางการตลาด รวมไปถึงการขยายตลาดในอาบูดาบี เพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นสปริงบอร์ดในการขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และอินเดีย 120 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีประเทศจีนที่บริษัทได้เข้าไปทำตลาดร่วมกับพาร์ทเนอร์แล้วและมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง

"4 ปีนับจากนี้บริษัทเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ 3,500 ล้านบาทภายในปี 2564 ขณะที่ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ราว 400 ล้านบาท เติบโต 20% และมีส่วนนแบ่งทางการตลาด 10% ของตลาดรวมครีมกันแดดเมืองไทยซึ่งมีมูลค่าราว 4,000 ล้านบาท"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,263 วันที่ 21 - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560