‘ดุสิตธานี’เผย 3 เดือนแรก กำไร 124 ล้านบาท

17 พ.ค. 2560 | 05:13 น.
17 พ.ค.60 – ดุสิตธานีเผยผลประกอบการไตรมาสแรก กำไรสุทธิ 124 ล้านบาท ผู้บริหารระบุเป็นผลการดำเนินงานที่อยู่ในความคาดหมาย หลังวางแผนงาน 3 ระยะ โดยระยะสั้นในช่วง 3 ปีแรก (2559-2561) เป็นช่วงของการสร้างฐานให้แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายและการลงทุนในอนาคต ขณะที่ระยะกลาง (2562-2564) เป็นช่วงเวลารับรู้ศักยภาพการเติบโต และระยะยาว (2565-2568) เน้นการสร้างมูลค่าในกิจการอย่างแท้จริง ให้ความมั่นใจผู้ถือหุ้น แม้ธุรกิจโรงแรมจะมีการแข่งขันสูง แต่ยังสามารถเติบโตได้ตามธุรกิจท่องเที่ยว ขณะที่แบรนด์ “ดุสิตธานี” ยังคงแข็งแกร่ง และยังมีศักยภาพในการแข่งขัน

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคมถึงมีนาคม) กลุ่มดุสิตธานียังสามารถดำเนินธุรกิจ โดยมีผลกำไรสุทธิ 124 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาจากการรับจ้างบริหารโรงแรม และรายได้จากธุรกิจการศึกษา ขณะที่รายได้จากธุรกิจโรงแรมปรับตัวลดลง จากสภาพการแข่งขันสูง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีการจัดโครงสร้างองค์กรภายใน และมีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ เพื่อรองรับกับการขยายตัวของธุรกิจ ทำให้มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพิ่มขึ้น

“"ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรก เป็นไปตามคาดการณ์ของฝ่ายบริหาร เพราะเราประเมินถึงผลกระทบจากการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมว่า จะมีความรุนแรงขึ้น ดังนั้น เราจึงใช้ความสามารถอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้กลุ่มดุสิตธานียังคงมีกำไรจากการดำเนินงาน ขณะเดียวกัน สิ่งที่กลุ่มดุสิตธานีทำมากกว่านั้น คือ เราได้กำหนดแผนงานระยะ 10 ปี ระหว่างปี 2559-2568 โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ แผนระยะ 3 ปีแรก (2559-2561) ซึ่งเป็นช่วงที่เน้นเสริมสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง แผนระยะกลาง (2562-2564) เป็นช่วงของการรับรู้ศักยภาพในการเติบโต หลังจากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่แล้วเสร็จและเปิดให้บริการ และแผนระยะยาว (2565-2568) ซึ่งจะเป็นช่วงของการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ หลังจากโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมหรือมิกซ์-ยูส เสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการ”  นางศุภจีกล่าว

ดังนั้น ในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานีดำเนินงานอยู่ภายใต้แผนระยะ 3 ปีแรก ซึ่งเป็นช่วงเสริมสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง ด้วยการวางทิศทางและกลยุทธ์เพื่อสร้างโอกาสเติบโตในอนาคต ช่วงเวลานี้จึงนับเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด เพราะการจะวางรากฐานให้แข็งแกร่งนั้น จะต้องอาศัยการพัฒนาบุคลากร การปรับปรุงกระบวนการในการทำงาน การพัฒนาระบบเทคโนโลยี การพัฒนาด้านสินทรัพย์ และสุดท้าย คือ การพัฒนาขีดความสามารถทางการเงิน  นั่นทำให้ดุสิตธานีมีความจำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของบุคลากร โครงสร้างองค์กร การลงทุนในธุรกิจ หรือการซ่อมแซมสินทรัพย์ที่มีอยู่ ซึ่งทำให้บริษัทฯ อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานี กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นช่วงการวางรากฐานที่มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนมากกว่าปกติ แต่บริษัทฯ พยายามที่จะรักษาผลการดำเนินงานให้ใกล้เคียงกับที่เป็นอยู่ ดังนั้น ตามแผนพัฒนาระยะแรกนี้จึงยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะเห็นการเติบโตของดุสิตธานีอย่างชัดเจน จนกว่าจะถึงแผนระยะที่ 2 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้าที่บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนต่างๆ ขณะที่ธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มนั้น แม้ว่า การแข่งขันในช่วงที่ผ่านมาจะมีความรุนแรงขึ้นตามการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยว แต่ฝ่ายบริหารก็ยังมีความมั่นใจว่า ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ “ดุสิตธานี” จะยังคงทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการแข่งขันได้อย่างแน่นอน