เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2560 ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา สมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา และ สหภาพสหพันธ์เยาวนชนแห่งชาติกัมพูชา ได้ร่วมมือกันจัดกิจกรรมเล็กๆแต่มีความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาในอนาคต ด้วยการนำคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่วัยไม่เกิน 40 ปี ฝ่ายละ 35-40 คน มาพบกันที่กรุงพนมเปญ ภายใต้งาน Thai-Cambodian Young Leaders Forum โดยมีนายสุภชัย วีระภุชงค์ กรรมการสมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา และผู้บริหารโรงแรมโซฟิเทล พนมเปญ โภคีธรา ดูแลเรื่องสถานที่
พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ นายกสมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา ซึ่งจับงานด้านความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามา 42 ปีเต็มกล่าวว่า สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน เคยกล่าวไว้เมื่อ 30 ปีก่อนว่า ไทยและกัมพูชาจะไม่มีวันแยกจากกันเพราะมีอาณาเขตติดต่อกัน และวันนี้นายฮุน มะนี(บุตรคนเล็กของฮุนเซน) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชา และประธานสมาคมสมาพันธ์เยาวชนแห่งชาติกัมพูชาก็กล่าวประโยคเดียวกัน ทำให้เห็นถึงอนาคตด้านความสัมพันธ์อันดีของสองประเทศการนัดพบกันครั้งนี้ก็เพื่อสร้างมิตรภาพคนรุ่นใหม่ให้มีโอกาสรู้จัก ได้แลกเปลี่ยนความคิดและทำธุรกิจร่วมกัน
นายณัฏฐวุฒิ โพธิสาโร เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กล่าวว่ากัมพูชาเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตย ใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาดขับเคลื่อนด้วยระยยทุนนิยมเต็มตัว ปกครองในระบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐภายใต้รัฐธรรมนูญ
กัมพูชามีประชากรประมาณ 16 ล้านคน ในจำนวนนี้ 70% อายุต่ำกว่า 35 ปี และเฉลี่ยอายุ 24 ปี ปัจจุบันมีชาวกัมพูชาไปทำงานที่ประเทศไทยประมาณ 1 ล้านคน ไปเที่ยวประเทศไทยปีละประมาณ 5 แสนคน ขณะที่คนไทยมาเที่ยวกัมพูชาปีละประมาณ 3 แสนคน
จากประสบการณ์ที่มีกับกัมพูชา 30 ปีถึงวันนี้เห็นว่าคนรุ่นเก่าที่เคยมีบทบาทในการปกครองกัมพูชาจะเริ่มวางมือหรือจากไปตามอายุขัย ในอดีตจะหาคนกัมพูชาที่มีความรู้ มีฐานะดีได้น้อยมาก แต่วันนี้กัมพูชาเปลี่ยนไปมาก คนรุ่นใหม่เติบโตมาด้วยการศึกษา มีจำนวนไม่น้อยที่จบต่างประเทศ เริ่มมีชนชั้นกลางและเกิดเศรษฐีใหม่จำนวนมาก มองอนาคตกัมพูชาภายใน 10 ปีข้างหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จะเป็นยุคของ New Generation ดังนั้นการนำคนรุ่นใหม่ของไทยและกัมพูชาให้ได้มาพบกันครั้งนี้ก็เพื่อลดความห่างเหิน สร้างความใกล้ชิดในวันนี้เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,261 วันที่ 14 - 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560