คนรวยลุยทองคำ-เยน ปรับพอร์ตหนีสงคราม ทิสโก้รอหุ้นQ2ร่วง5%

24 เม.ย. 2560 | 12:00 น.
แบงก์แนะนำลูกค้าเศรษฐีปรับพอร์ตตามความเสี่ยงเลี่ยงสงครามระอุ กสิกรไทยเผยเห็นสัญญาณลูกค้ากลุ่มรับความเสี่ยงตํ่าโยกลงทุน “ทองคำ-เงินเยน” ส่วนกรุงไทยเน้นลงทุนกลุ่มที่มีเสถียรภาพ-รัฐบาลการันตี ฟาก“ทิสโก้”กำเงินสดรอดูจังหวะไตรมาส 2 หุ้นปรับฐานลง 5% ค่อยลุยต่อ

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจบริการไพรเวทแบงค์ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในภาวะที่ตลาดมีความกังวลและกลัวในเรื่องของความไม่แน่นอนทางรัฐภูมิศาสตร์ หรือการตอบโต้กันระหว่างประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเกรงว่าเกิดสงครามนั้น ขณะนี้ยังไม่พบว่าความกลัวดังกล่าวสะท้อนในตลาดมากนัก
อย่างไรก็ตามเมื่อมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น จะเห็นกลุ่มนักลงทุนบ้งส่วนที่รับความเสี่ยงได้น้อยหรือยอมรับความเสี่ยงไม่ได้หันไปซื้อหรือลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯทองคำ หรือเงินสกุลเยน-ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งจะเห็นราคาสินทรัพย์ประเภทเหล่านี้ราคาสูงขึ้น

“การหันมาลงทุนดังกล่าวมีเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะนักลงทุนมีพฤติกรรมการลงทุนแตกต่างกันและระดับการยอมรับความเสี่ยงก็แตกต่างกัน”

นายจิรวัฒน์ กล่าวว่า ภาวะผันผวนเช่นนี้ ธนาคารได้แนะนำลูกค้ามั่งคั่ง (Wealth Management) ที่มีความกังวลสูงชะลอการลงทุน และแนะนำการจัดพอร์ตเป็น 2 ส่วน คือ การจัดพอร์ตแบบแกนกลางประมาณ 60-70% ลงทุนในกองทุนผสม ซึ่งจะมีอยู่ 3 กองทุนหลักๆ ซึ่งจะมีการลงทุนสินทรัพย์ 5 ส่วน อาทิ กองทุนที่ผสมพันธบัตร หุ้นกู้เอกชน-หุ้นกู้ประเทศกำลังพัฒนา กองทุนผสมที่เน้นรายได้สม่ำเสมอ และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งกองทุนผสมเหล่านี้ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยสูง

ขณะเดียวกัน ธนาคารจะมีการถ่วงน้ำหนักความเสี่ยง หากพบว่ามีความเสี่ยงจะมีเริ่มปรับพอร์ต หรือ Rebalance โดยไม่เน้นเรื่องผลตอบแทน (Yield) แต่จะดูความเสี่ยงเป็นหลัก

จัดพอร์ตแบบที่ 2 คือ การจัดแบบรอบนอกสัดส่วนอีกราว 30-40% จะเน้นการลงทุนหุ้นในประเทศในกลุ่มแบงกิ้ง และหุ้นที่เกี่ยวกับดิจิตอลที่กำลังมาแรง โดยหลักจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์พันธบัตรประเทศเกิดใหม่ เนื่องจากธนาคารมองว่านักลงทุนส่วนใหญ่หันไปลงทุนในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ทำให้ราคาหุ้นหรือค่าเงินเพิ่มสูงขึ้นมาก จึงเป็นโอกาสในประเทศเกิดใหม่มากขึ้น

การจัดพอร์ตทั้ง 2 ส่วน จะพบว่าการจัดพอร์ตแบบแกนกลางค่อนข้างทำได้ดี สะท้อนผ่านผลงาน 3 เดือนแรก ธนาคารสามารถสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าได้แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 2.97% จากเป้าหมายทั้งปีอยู่ที่ 6% ส่วนการจัดพอร์ตแบบรอบนอก อาจจะเห็นการชะลอตัวไปบ้างจากบรรยากาศความกังวล แต่ธนาคารสามารถสร้างผลตอบแทนสะสมให้ลูกค้าได้ประมาณ 10% ประกอบกับธนาคารเพิ่งเริ่มออกสู่ตลาดเมื่อช่วงปลายเดือนก่อน ทำให้ตลาดเพิ่งทยอยรับรู้ จึงต้องรอดูสถานการณ์หลังวันหยุดยาวอีกครั้ง

“เห็นการลงทุนในสปีดที่ช้าลงกว่าเดิม ลูกค้าจะเริ่มคิดและอยู่ในโหมดรอดดูสถานการณ์ว่าถ้าจะสวิตช์การลงทุนจะลงทุนอะไร แต่กรณีที่ไม่สวิตช์และจะลงทุนแผนเดิม ก็อาจจะช้า ลดพอร์ต และทยอยลงทุนรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจน”

นายลือชัย ชัยปริญญา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อย ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ตอนนี้ลูกค้ามั่งคั่งของธนาคารยังไม่ได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างรวดเร็วในช่วงที่มีสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตลาดที่เกิดจากความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศ เชื่อว่าเป็นการขู่กันเพียงเท่านั้น

ลูกค้าส่วนใหญ่แค่ชะลอดูสถานการณ์และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม โดยธนาคารยังคงให้คำแนะนำกับลูกค้าในการแบ่งการลงทุนเพียงบางส่วน อย่าลงทุนทั้งหมด เช่น มีอยู่ 100 บาท อาจจะลงทุนเพียง 50% โดยพิจารณาสินทรัพย์การลงทุนตามความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ เพราะหากต้องการผลตอบแทนสูงย่อมมีความเสี่ยงสูงเช่นกัน

ทั้งนี้ กรณีลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้น้อยหรือไม่ได้เลย ธนาคารแนะนำให้ลงทุนในกลุ่มพันธบัตรรัฐบาลที่การันตีชัดเจน กองทุนต่างประเทศ โดยเลือกประเทศที่มีเสถียรภาพและการเมืองไม่แกว่าง ซึ่งสัดส่วนการลงทุนอาจลงทุนประมาณ 90% และอีก 10% ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง

ส่วนกลุ่มรับความเสี่ยงระดับกลาง อาจจะแบ่งลงทุน 80% ในสินทรัพย์หุ้นกู้ หรือหุ้นกู้ต่างประเทศที่มีแนวโน้มที่ดี และอีก 20% ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า ธนาคารแนะนำให้ลูกค้าที่ลงทุนในหุ้นให้ทยอยปรับพอร์ตและขายตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมที่ผ่านมา และหันมาถือเงินสดแทนเพื่อรอดูสถานการณ์

กระแสการเกิดสงครามในตลาด ทำให้ตลาดหุ้นทยอยปรับลง ซึ่งธนาคารแนะนำใหลูกค้าที่ถือเงินสดรอดูสถานการณ์จนกว่าหุ้นจะเริ่มปรับฐานลงมาประมาณ 5% จึงทยอยเข้าไปลงทุนใหม่ได้ คาดว่าภายในไตรมาสที่ 2 น่าจะเริ่มเห็นการปรับฐานของหุ้นได้

อย่างไรก็ตามการปรับพอร์ตในระยะสั้นในกรณีที่เหตุการณ์ไม่ลุกลามจนเป็นสงครามนั้น อาจจะเห็นนักลงทุนถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ และเงินสกุลเยน-ญี่ปุ่น แต่สินทรัพย์ประเภทนี้จะถูกแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะเริ่มปรับขึ้นประมาณ 2-3 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะกระทบต่อสินทรัพย์ประเภทดังกล่าว ดังนั้นอาจจะลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น 2-3 ปี เพื่อลดผลกระทบจากเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,255 วันที่ 23 - 26 เมษายน พ.ศ. 2560