กบง.คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG เดือนเม.ย.ที่ 20.96 บาท /กก.

04 เม.ย. 2560 | 05:14 น.
4 เมษายน 2560- ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2560 ที่ผ่านมานั้น ได้มีการพิจารณาโครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2560 โดยจากสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนเมษายน 2560 ได้ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 80 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 460 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2560 แข็งค่าขึ้นจากเดือนก่อน 0.1217 บาท/เหรียญสหรัฐฯ มาอยู่ที่ 35.0676 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า (Import Parity) ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นก๊าซ LPG ปรับลดลง 2.9139 บาท/กก. จาก 20.5787 บาท/กก. เป็น 17.6648 บาท/กก. ดังนั้น เพื่อลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเตรียมการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG เต็มรูปแบบในอนาคต ที่ประชุม กบง. จึงเห็นควรให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2560 ไว้ที่ 20.96 บาท/กก. โดยปรับลดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ลง 2.9139 บาท/กก. จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 6.6336 บาท/กก. เป็นชดเชยที่ 3.7197 บาท/กก. มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของก๊าซ LPG มีรายจ่ายลดลงจากเดือนก่อน ประมาณ 322 ล้านบาท จากเดิมมีรายจ่ายอยู่ที่ 444 ล้านบาท/เดือน ลดลงเหลือ 121 ล้านบาท/เดือน โดยฐานะสุทธิของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 2 เมษายน 2560 อยู่ที่ 40,155 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) ในส่วนของบัญชีก๊าซ LPG อยู่ที่ 6,514 ล้านบาท และ 2) ในส่วนของบัญชีน้ำมันสำเร็จรูป อยู่ที่ 33,641 ล้านบาท

นอกจากนี้ ที่ประชุม กบง. ได้รับทราบรายงานผลการจัดกิจกรรมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และรับทราบความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ ของ คสช. ซึ่งมีพลเอก เฉลิมชัย  สิทธิสารท เป็นประธานจัดงาน โดยกิจกรรมได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2560 จำนวน 3 เวที ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดกระบี่ และจังหวัดสงขลา ครอบคลุมพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ มีผู้เข้าร่วมจากภาคส่วนต่างๆ อาทิ ฝ่ายปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนผู้แทนประชาชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งสิ้น 3,485 คน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยสรุปภาพรวมพบว่า ส่วนใหญ่มีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ภาคใต้มีความจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าเพิ่มเพื่อมารองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น แต่สำหรับในประเด็นการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกัน โดยฝ่ายที่เห็นด้วยมีความเห็นว่า โรงไฟฟ้าจะช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ดีขึ้น ส่วนฝ่ายที่เห็นต่างยังมีความกังวลโดยเฉพาะเรื่องผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม รวมถึงกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ที่ยัง นอกจากนี้ ยังต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าภาคใต้มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงดังกล่าว ทั้งนี้ คสช. ได้สรุปผลการจัดกิจกรรมฯ เสนอต่อนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว และ คาดว่าจะจัดทำรายงานผลการดำเนินงานฉบับสมบูรณ์ รวมทั้งข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเสนอต่อรัฐบาลได้ ภายในวันที่ 28 เมษายน 2560

พร้อมกันนี้ ที่ประชุม กบง. ยังได้รับทราบรายงานสรุปการดำเนินงานในช่วงที่มีการปิดซ่อมประจำปีของแหล่งจ่ายก๊าซฯ ยาดานา (Yadana) ฝั่งตะวันตก ประเทศเมียนมา โดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยว่า ตามแผนการปิดซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซฯ ดังกล่าว ได้กำหนดไว้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม – 2 เมษายน 2560 เวลา 24.00 น. รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 9 วัน แต่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2560 เวลา 08.46 น. พบว่า การซ่อมบำรุงแล้วเสร็จ โดยผู้ผลิตแหล่งก๊าซฯ เมียนมา ทุกแหล่ง สามารถดำเนินการจ่ายก๊าซฯ กลับเข้าสู่ระบบได้ตามปกติ ซึ่งเร็วกว่าแผนประมาณ 1 วัน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รายงานการคาดการณ์พลังงานไฟฟ้าไว้ที่ 603 GWh แต่เกิดขึ้นจริง 552.2 GWh

ต่ำกว่าที่คาดการณ์ 50.8 GWh สืบเนื่องจากผลของพายุฤดูร้อนที่เกิดตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2560 ต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ ทำให้อุณหภูมิลดลงมาอยู่ในระดับเฉลี่ย 33-34 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประมาณการการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ (Peak) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 ที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 28,250 เมกะวัตต์ มีค่าที่เกิดขึ้นจริงในระบบของ กฟผ. อยู่ที่ระดับ  26,220 เมกะวัตต์ น้อยกว่าคาดการณ์ไว้ประมาณ 2,000 เมกะวัตต์ และค่าที่เกิดขึ้นจริงในระบบของทั้ง 3 การไฟฟ้า อยู่ที่ระดับ 27,051 เมกะวัตต์