ส.อ.ท.เดินหน้าชู 6 ยุทธศาสตร์  พร้อมขับเคลื่อน Industry 4.0

20 มี.ค. 2560 | 08:31 น.
20 มีนาคม 2560-  นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยในโอกาส สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดงานประชุมสามัญ ประจำปี 2560 ณ ห้อง Plenary Hall 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีสมาชิกจากทั่วประเทศร่วมประชุมอย่างคับคั่ง และได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บรรยายพิเศษ ในวันนี้(20 มี.ค.60)ว่า นอกจากการประชุมสามัญประจำปี 2560 ในครั้งนี้ จะเป็นการรวมตัวสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมฯ ที่มาจากทั่วประเทศ เพื่อร่วมประชุมรับฟังสรุปผลการดำเนินงานของสภาอุตสาหกรรมฯ ตลอดปี 2559 ที่ผ่านมา แล้วยังเปรียบเสมือนเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่มาพบปะและแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน พร้อมกันนั้นการประชุมในครั้งนี้ยังถือเป็นโอกาสอันดีที่นายอุตตมสาวนายนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มาร่วมบรรยายพิเศษ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่ยุคThailand 4.0 ให้แก่สมาชิก ส.อ.ท. ได้รับฟังอีกด้วย

สภาอุตสาหกรรมฯ เป็นองค์กรที่สนับสนุนและเสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างบูรณาการ จึงได้ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนดำเนินโครงการต่างๆ มากมาย อีกทั้งเป็นตัวแทนภาคอุตสาหกรรมเสนอแนวทางด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันให้เป็นนโยบายของรัฐบาล ในการพัฒนา และยกระดับผลิตภาพของอุตสาหกรรม พร้อมทั้งพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือของสมาชิก รวมถึงหน่วยงานภาครัฐเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพและความสมานฉันท์ในการร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมให้มีขีดความสามารถการแข่งขันได้ในระดับสากล

นายเจนฯกล่าวว่า จากการดำเนินงานของสภาอุตสาหกรรมฯ ในปี 2559 ที่ผ่านมาได้ดำเนินงานตามวิสัยทัศน์“อุตสาหกรรมเป็นมิตร ช่วยเศรษฐกิจ ช่วยชาติ”ประสบความสำเร็จตามยุทธศาสตร์เชิงรุกจำนวน 6 ข้อ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยวาระปี 2559– 2561ที่ตั้งไว้ ได้แก่

ยุทธศาสตร์ที่ 1สร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย ด้วยประสิทธิภาพ ผลิตภาพ และนวัตกรรม

1.การพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดอุตสาหกรรม 4.0โดย ส.อ.ท. เป็นศูนย์กลางการประสานงานขับเคลื่อนนโยบายร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 ด้วยการสร้างความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการเตรียมพร้อมการปรับตัวของสถานประกอบการ

2.การดำเนินงานด้านเทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรมส.อ.ท.มุ่งมั่นพัฒนาขีดความสามารถเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ของอุตสาหกรรมไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมโยงความร่วมมือและเครือข่ายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจากหน่วยงานวิจัยภาครัฐ และสถาบันการศึกษาชั้นนำของไทย รวมถึงกลไกการสนับสนุนด้านทุนวิจัย การจับคู่นักวิจัย และการใช้ระบบการค้าแบบดิจิทัล

3.เพิ่มศักยภาพให้ SMEโดยส.อ.ท. ได้เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันอย่างยั่งยืนของ SME  ในภาคอุตสาหกรรม ตลอดระยะเวลาปี 2559 ที่ผ่านมาดังนี้

•เป็นเลขานุการคณะกรรมการสานพลังประชารัฐ ชุดส่งเสริม SME Startup และSocial Enterprise

•ส่งเสริมด้านการขยายตลาดต่างประเทศผ่านโครงการ SME Proactive950 ราย

•ส่งเสริมช่องทางการตลาดในประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจผ่าน โครงการ SME Market Place ไทยช่วยไทย by ประชารัฐ

•สร้างความเข้มแข็งเครือข่าย SME ที่มีศักยภาพ ผ่านโครงการ SME Spring Up รุ่นที่ 3 จำนวน 110 ราย

•เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนให้กับ SMEผ่านโครงการปรับแผนธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถ SME และ Workshop พารวยด้วยโลจิสติกส์ 1,767 ราย

•ส่งเสริม SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการ MOU ร่วมระหว่าง SME DevelopmentBank } วงเงิน 15,000 ล้านบาท และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 16,000 ล้านบาท และสินเชื่อประชารัฐเพื่อ SME 10,000 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์ที่ 2พัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้ยั่งยืนด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

1.การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม และน้ำ โดย ส.อ.ท. ได้ดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ในการพัฒนา

อุตสาหกรรมไทยให้มีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตและการบริโภคสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ รวมไปถึงการพัฒนาสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ตลอดจนการส่งเสริมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ สร้างต้นแบบโรงงานที่มีการบริหารจัดการน้ำที่ดี 103 โรงงาน การทำงานเชิงรุกจาก War Room 4 ภาค และอบรมหลักสูตรการบริหารจัดการน้ำอย่างต่อเนื่อง

2.การขับเคลื่อนด้านพลังงานได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมต่างๆ ให้กับสมาชิก ส.อ.ท.อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันและจูงใจให้มีการอนุรักษ์พลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรม โดยในปี 2559 ผลที่ได้จากการดำเนินโครงการที่แล้วเสร็จ สามารถประหยัดพลังงานคิดเป็นมูลค่าประมาณ 262 ล้านบาท

3.อุตสาหกรรมเพื่อการเกษตรส.อ.ท. เปิดตัวสถาบันอุตสาหกรรมเพื่อการเกษตร และจัดตั้งสำนักงานการรับรองไม้เศรษฐกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาการส่งออกอุตสาหกรรมประเภทไม้ และอุตสาหกรรมที่ใช้ไม้เป็นวัตถุดิบยกระดับและพัฒนาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการเกษตรให้มีมาตรฐาน เกิดการเชื่อมโยงกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีเกษตรเป็นพื้นฐาน

4.กิจกรรมเพื่อสังคม (CSR)ส.อ.ท.ยังคงตระหนักถึงการมีส่วนร่วมกับชุมชน และสังคม ได้แก่ โครงการห้องสมุดสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2553-2559 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โครงการส่งเสริมการจัดการบรรจุภัณฑ์แก่ชุมชนต่างๆทั่วประเทศและโครงการ 50 ปี   ส.อ.ท. มอบจักรยาน 7,000 คัน ปันรัก..สู่โรงเรียนขาดแคลน

ยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมไทย ด้วยการรวมกลุ่มเป็นคลัสเตอร์

1.การส่งเสริมอุตสาหกรรมมี 6 กรอบแผนการดำเนินงาน ดังนี้

•ส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยง Value Chain ของกลุ่มต่างๆ ภายใน Cluster และระหว่าง Cluster

•ผลักดันให้มีการจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์

•ส่งเสริมและสนับสนุน SME ไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยระบบ Automation

•ถ่ายทอดองค์ความรู้จาก Cluster และกลุ่มอุตสาหกรรมไปสู่ภูมิภาค

•สนับสนุนและส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเข้าสู่ Eco Industry Town

•ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตเครื่องจักร สินค้า และวัตถุดิบทดแทนการนำเข้า

2.การดำเนินงานของสภาอุตสาหกรรมจังหวัดการดำเนินงานส่งเสริมความเข้มแข็งในการพัฒนาอุตสาหกรรมระดับจังหวัด ตลอดจนการร่วมมือระหว่างพื้นที่ในแต่ละภูมิภาค ด้วยการให้ความรู้ในการทำงานร่วมกัน ตลอดจนการประชุมระดับนโยบาย จนถึงระดับปฏิบัติการ เพื่อขับเคลื่อนโครงการต่างๆ

ยุทธศาสตร์ที่ 4 สร้างโอกาสให้อุตสาหกรรมไทยใช้ประโยชน์จากการเจรจาการค้าได้มีการร่วมมือกับต่างประเทศในระดับทวิภาคีและพหุภาคีเพื่อสร้างความสัมพันธ์ เจรจาธุรกิจ สร้างเครือข่ายเพื่อขยายโอกาสและช่องทางการค้าอย่างกว้างขวาง เพื่อให้เกิดการสนับสนุนทางการค้าระหว่างกันมากขึ้น

ยุทธศาสตร์ที่ 5 พัฒนาบุคลากรเพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมไทย โดยเสริมสร้างขีดความสามารถบุคลากรและแรงงานในการจัดทำมาตรฐานอาชีพ และการทดสอบฝีมือแรงงาน การสัมมนา และฝึกอบรมในสาขาต่างๆ อาทิ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทักษะการเป็นผู้จัดการโรงงาน การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ตลอดจนการพัฒนาในระดับนักอุตสาหกรรมรุ่นใหม่ และผู้บริหาร เพื่อปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม

ยุทธศาสตร์ที่ 6 ร่วมกับภาครัฐในการสร้างปัจจัยเอื้อต่อภาคอุตสาหกรรม

1.Ease of Doing Business โดยร่วมประชุมกับภาครัฐ เพื่อผลักดันให้มีความสะดวกการประกอบธุรกิจในประเทศไทย ตามรายงาน Doing Business 2017 ของธนาคารโลก เพื่อขับเคลื่อน และสนับสนุนปัจจัยเอื้อในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการภาคเอกชน

2.ประชุม กกร. กรอ.โดยร่วมขับเคลื่อนข้อเสนอจากภาคอุตสาหกรรม ผ่านการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันหรือ กกร. ซึ่งประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย รวมถึงการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาระดับประเทศต่อที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ หรือ กรอ.ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค เช่น โครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งโดยการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล และการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจร (BIO HUB) เพื่อการเกษตรยั่งยืน

3.ด้านกฎหมายส.อ.ท.ได้ผลักดันข้อเสนอการขอแก้ไขกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมหลายด้าน ได้แก่ การแก้ไขพระราชบัญญัติศุลกากร และสรรพสามิตให้เป็นธรรม เป็นต้น รวมถึงการเผยแพร่ให้ความรู้ทางด้านกฎหมายเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้น

ทั้งนี้ ส.อ.ท.ได้ให้บริการสมาชิกในการออกเอกสารใบรับรองต่างๆ กว่า 20,000 ฉบับทั้งใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า รับรองฐานะการเงิน พิจารณาสูตรการผลิต BOIการประสานงานออกบัตรเดินทางสำหรับนักธุรกิจเอเปคอีกทั้งมุ่งให้ความสำคัญกับงานวิจัย พัฒนานวัตกรรม และดึงงานวิจัยที่มีอยู่แล้วมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ อาทิ โครงการ Talent  Mobility เพื่อพัฒนาขีดความสามารถ SMEs ไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมถึงเป็นหนึ่งในองค์กรหลักแสดงเจตนารมณ์และจุดยืนในการต่อต้านคอร์รัปชั่นพร้อมทั้งจัดอบรม สัมมนา เยี่ยมชมดูงาน ให้แก่สมาชิกตลอดปี รวมทั้งจัดทำวารสารเชิงวิชาการต่างๆ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้แก่สมาชิกและบุคคลทั่วไป ตลอดจนจัดกิจกรรมเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกทั่วประเทศ

“อีกทั้งเพิ่มจำนวนและพัฒนาการให้บริการสมาชิกจากผลการดำเนินงานอย่างเข้มแข็งในการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมให้อุตสาหกรรมไทยเข้มแข็ง ทำให้จำนวนสมาชิกของส.อ.ท. ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 10,300 ราย และตลอดระยะเวลาที่ผมดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผมพร้อมที่จะทุ่มเททุกสรรพกำลัง ในการดำเนินการตามแนวทางที่วางไว้ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น และการร่วมมือกับภาครัฐในการพัฒนาอุตสาหกรรม รวมทั้งผู้ประกอบการไทยให้เข้มแข็ง พร้อมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เกิดความมั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป”นายเจน กล่าว