‘ขายตรง’ฉีดยาแรง ปรับยุทธศาสตร์รับเทรนด์ออนไลน์-คนรุ่นใหม่

11 มี.ค. 2560 | 08:00 น.
“ขายตรง” ฉีดยาแรง ชู 2 กลยุทธ์ “ดิจิตอล-นวัตกรรม” เร่งปั๊มยอด หลังส่งสัญญาณการฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจไทย คาดเป็นบวกได้ 3% ในรอบหลายปีจากมูลค่ารวม 7 หมื่นล้านบาท

ธุรกิจขายตรงไทยในปีนี้คาดว่าจะเริ่มกลับมาเติบโตได้อย่างชัดเจนในอัตราไม่ต่ำกว่า 3% จากมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท กลับสู่ภาวะฟื้นตัวจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่อยู่ในภาวะทรงตัวและบางปีไม่เติบโต โดยการแข่งขันของผู้ประกอบการ ยังคงมุ่งเน้นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสร้างยอดขายที่มีนวัตกรรมสินค้าในรูปแบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก ขณะเดียวกันจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับโลกออนไลน์มากขึ้น การพัฒนาองค์กรของธุรกิจขายตรง ต่างก็มุ่งเข้าสู่โลกดิจิตอลมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพื่อให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

แอมเวย์ ผู้นำในธุรกิจขายตรงได้ใช้กลยุทธ์การตลาดที่ผสมผสานระหว่างโลกออนไลน์เข้ากับการสร้างประสบการณ์ในธุรกิจขายตรงเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างการเติบโตในอัตรา 3% ขณะที่นูสกิน ได้ใช้นวัตกรรมสินค้าที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของตัวเอง สร้างยอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ส่วนศรีไทยเน็ทเวิร์ค ลงทุน 10 ล้าน พัฒนาระบบไอทีหวังเจาะคนบนโลกออนไลน์ พร้อมเตรียมแตกออกมาเป็นบริษัทแยกต่างหาก รับนโยบายโฮลดิ้งคอมปานีของศรีไทย ปูทางสู่ยอดขาย 1,000 ล้านบาท

โดยนายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงในปีนี้น่าจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกับภาวะเศรษฐกิจในอัตรา 3% ซึ่งยังเห็นทิศทางการฟื้นตัวที่ดีขึ้น และยังไม่เห็นปัจจัยลบที่จะมากระทบต่อธุรกิจแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าในปีนี้ภาพรวมธุรกิจขายตรงและการเติบโตของบริษัทจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ทำตลาดในช่วงครึ่งปีแรก ยังคงต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา ที่มุ่งเน้นสินค้าในกลุ่มควบคุมน้ำหนักเป็นสินค้าหลักในการทำตลาด

ขณะเดียวกันยังคงมุ่งเน้นการทำตลาด เพื่อขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี ที่ปัจจุบันมีสัดส่วน35% ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนนักธุรกิจระดับแพลทินัมจากจำนวน 1.75 หมื่นรายให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น 2 เท่าหรือ 3.6-3.7 หมื่นราย ภายใน 7 ปีข้างหน้า ด้วยการมุ่งเน้นการสร้างความจงรักภักดีในการใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อให้มีการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันแอมเวย์มีฐานสมาชิกรวม 7.2 แสนรหัส และฐานนักธุรกิจรวม 3.3 แสนรหัส

ล่าสุด แอมเวย์ได้เปิดเผยผลวิจัยในหัวข้อความต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอีใน 45 ประเทศทั่วโลก จำนวนกว่า 5 หมื่นคน ในจำนวนดังกล่าวเป็นการสำรวจกับคนไทยจำนวน 1,000 คน โดยพบว่าคนไทยมีทัศนคติเชิงบวกต่อการเป็นเจ้าของธุรกิจมากถึง 77% เทียบเท่ากับผลสำรวจระดับโลก ขณะที่ผลสำรวจศักยภาพในการเป็นเจ้าของธุรกิจของประเทศไทยมีสัดส่วนสูงที่สุดถึง 77% ส่วนในระดับโลกมีค่า50% และระดับเอเชีย 63% สำหรับแนวโน้มการทำธุรกิจส่วนตัวอีก 5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยมีมากที่สุดถึง 78% เท่ากับค่าเฉลี่ยของเอเชีย และสูงกว่าระดับโลกที่มีสัดส่วน 69%

สำหรับผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา แอมเวย์ประเทศไทยมียอดขาย 1.75 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 5.7% โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามมีสัดส่วนมากที่สุดถึง 80% ซึ่งยอดขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์ 2. เครื่องกรองน้ำและเครื่องกรองอากาศ 3. เครื่องสำอางอาร์ทิสทรี ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้มาจากกลยุทธ์โปรดักต์โซลูชัน ซึ่งเป็นการผสานคุณภาพเวิลด์คลาสของผลิตภัณฑ์กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสมของผู้บริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพอันจะสร้างความประทับใจต่อแบรนด์และผลิตภัณฑ์ในระยะยาว

[caption id="attachment_133873" align="aligncenter" width="503"] วิภาดา ตั้งปกรณ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด วิภาดา ตั้งปกรณ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด[/caption]

ขณะที่นางวิภาดา ตั้งปกรณ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เชื่อว่าขายตรงปีนี้มีการแข่งขันสูงขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านการขับเคลื่อนธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิตอล ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวตาม ส่วนแนวทางการดำเนินธุรกิจได้วางกลยุทธ์ใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.ปรับแผนธุรกิจให้ทันโลกในยุคดิจิตอล เน้นการนำเสนอนวัตกรรมและจำหน่ายสินค้าใหม่ที่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค และ 2. การสร้างความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมชรา โดยในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายสร้างการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%

สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่เป็นสินค้าหลักในการทำตลาด คือ "เอจล็อกมี" นวัตกรรมการบำรุงผิวยุคดิจิตอลที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้สามารถดีไซน์สูตรสกินแคร์เฉพาะผิวบุคคล สามารถตั้งค่าความเข้มข้นของเนื้อครีม น้ำหอม ระดับสารกันแดด ที่มีให้เลือกมากกว่า 2,000 สูตร ด้วยการดีไซน์สูตรบำรุงผิวผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ซึ่งสินค้าดังกล่าวก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวจำหน่ายให้กับนักธุรกิจนูสกินก่อน พบว่ามียอดขายเติบโต 265% โดยสินค้ากลุ่มเอจลอกมี มีสัดส่วนยอดขายรวม 70% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าภายหลังจากออกผลิตภัณฑ์ เอจล็อก มีอย่างเป็นทางการ จะสามารถผลักดันยอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%

ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โดยใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท ลงทุนพัฒนาซอฟต์แวร์อัจฉริยะ S Tech (Srithai Technology) ให้กับธุรกิจ "ศรีไทย เน็ทเวิร์ค" เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายออนไลน์ และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในอนาคต และยังคาดว่าจะแตกธุรกิจขายตรงออกมาเป็นอีกบริษัท ตามนโยบายการดำเนินธุรกิจที่กำลังจะเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ด้วยการตั้งศรีไทยซุปเปอร์แวร์เป็นบริษัทโฮลดิ้ง และแยกออกมาเป็น 3 ธุรกิจภายใต้กลุ่มศรีไทยซุปเปอร์แวร์ ได้แก่ ศรีไทยเมลามีน ศรีไทยพลาสติก และ ศรีไทย เน็ทเวิร์ค

บริษัทคาดว่าจะมีผลประกอบการเติบโต 12-14% จากปีก่อนปิดยอดขายที่ 9,300 ล้านบาท โดยรายได้จากพลาสติกมีสัดส่วนสูงสุด 70 % ธุรกิจเมลามีน 25% และธุรกิจขายตรง 5 % ซึ่งวางเป้าหมายในระยะ 4 ปีนับจากนี้ จะมีรายได้รวม 2 หมื่นล้านบาท โดยธุรกิจขายตรงจะมีรายได้ 1,000 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,242 วันที่ 9 - 11 มีนาคม พ.ศ. 2560