'ข้าวถุง'ธรรม'9เดือนโต5% หลังเพิ่มช่องทางขาย-ปูพรมจับลูกค้าบีทูบีพันแห่ง

23 ต.ค. 2559 | 06:00 น.
ข้าวถุงแบรนด์ธรรม โชว์ผลประกอบการ 9 เดือน ยังเติบโตได้ 5% สวนสภาพตลาดข้าวถุง 3 หมื่นล้านที่ทรงตัว หลังเดินหน้าขยายช่องทางขายในโมเดิร์นเทรด และจับกลุ่มลูกค้าบีทูบีอย่างต่อเนื่อง มีฐานลูกค้ากว่า 1,000 แห่ง ชูคุณภาพสินค้าไม่เน้นการแข่งด้วยราคา ขณะที่แบรนด์คู่แข่งยอดหด 20-30% ปีหน้าเดินกลยุทธ์เดิมต่อหวังโต 15%

นายพงษ์อธิป เหล่าธรรมทัศน์ ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท ยูนิเกรน มาร์เก็ตติ้ง (1999) จำกัด ผู้จำหน่ายข้าวสารบรรจุถุง ชุดข้าวแบรนด์ “ข้าวธรรม” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมาว่า สามารถสร้างการเติบโตได้ 5% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ดีกว่าภาพรวมตลาดข้าวสารบรรจุถุง ที่ปีนี้ตลาดถือว่าไม่เติบโตและมีผู้ประกอบการบางรายที่ยอดขายลดลง 20-30% ด้วย เนื่องจากภาวะการแข่งขัน ปัญหาเศรษฐกิจและกำลังซื้อ รวมถึงภาวะการส่งออกข้าวที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ปริมาณข้าวในประเทศมีจำนวนมาก

สำหรับการเติบโตดังกล่าว เป็นผลจากการที่บริษัทขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น ทั้งช่องทางในห้างสรรพสินค้าและนอกห้างสรรพสินค้า โดยเฉพาะการขยายฐานลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) อาทิ ร้านอาหาร ภัตราคาร โรงงานผลิตอาหาร เป็นต้น ซึ่งได้ขยายฐานลูกค้าดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 1,000 แห่ง ในปีนี้บริษัทยังคงขยายตลาดดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มจำนวนช่องทางภายในห้างสรรพสินค้าที่ยังไม่ได้เข้าไปทำตลาดมากขึ้นด้วย

“ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมายอดขายของบริษัทเติบโตมากกว่า 20% แต่มาปีนี้ต้องยอมรับว่าสภาพเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และภาวะการแข่งขันที่รุนแรง มีผลกระทบต่อตลาดข้าวสารบรรจุถุง แม้ว่าจะเป็นสินค้าจำเป็น แต่ก็มีผลกระทบลูกค้าบางรายยอดสั่งซื้อสินค้าก็ลดลง ซึ่งบริษัทเน้นการขยายช่องทางการขายให้ครอบคลุม ช่องทางโมเดิร์นเทรดตอนนี้เหลือเฉพาะร้านเซเว่นอีเลฟเว่น และเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าบีทูบี ตั้งแต่ระดับร้านอาหารที่มีสาขา 2-3 แห่ง ไปจนถึงที่มีสาขาระดับ 300-400 แห่ง ทำให้ยังสามารถรักษาการเติบโตไว้ได้ หากไม่ทำอะไรเชื่อว่ายอดขายน่าจะลดลง 10-15%”

นอกจากการขยายช่องทางและกลุ่มลูกค้าใหม่แล้ว ปีนี้บริษัทเตรียมปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ของข้าวสำหรับใส่บาตรและชุดของขวัญ เพื่อเป็นการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้เพิ่มสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด ซึ่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้พัฒนาสินค้าออกมาจนครบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มข้าวเพื่อสุขภาพ อาทิ ข้าวออแกนิค ข้าวไรซ์เบอรี่ แต่ถือว่ายอดขายยังไม่มากนัก เนื่องจากผู้บริโภคคนไทยยังนิยมกินข้าวขาว แต่บริษัทยังคงมีวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มชุดของขวัญและข้าวสำหรับการใส่บาตร ก็มีสินค้าที่นำออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แต่บริษัทไม่ได้มุ่งหวังสัดส่วนยอดขายมากนัก

สำหับภาพรวมตลาดข้าวถุงในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยตลาดน่าจะอยู่ในภาวะทรงตัว ซึ่งการที่บริษัทเติบโตได้น่าจะเป็นการเข้าไปแชร์ส่วนแบ่งการตลาดจากสินค้าแบรนด์อื่น เพราะมีบางแบรนด์ที่ยอดขายลดลง 20-30% จากภาวะการแข่งขันที่รุนแรง และการใช้กลยุทธ์การลดราคา แต่บริษัทมุ่งเน้นรักษาฐานลูกค้าและคุณภาพสินค้า ทำให้ลูกค้ายังคงใช้สินค้าอย่างต่อเนื่อง และไม่เปลี่ยนไปใช้สินค้าแบรนด์อื่น

นายพงศ์อธิป กล่าวอีกว่า ส่วนในไตรมาสสุดท้าย บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ ด้วยการออกสินค้ากลุ่มของขวัญและกระเช้าของขวัญ เพื่อมารองรับกับช่วงปลายปีนี้ ที่มีการซื้อกระเช้าหรือของขวัญให้แก่กัน ซึ่งปกติในไตรมาสสุดท้ายเป็นฤดูกาลขายสินค้าของกลุ่มสินค้าดังกล่าว ขณะที่แผนธุรกิจในปีหน้า บริษัทได้วางเป้าหมายการเติบโตไว้ 15% โดยจะเน้นการขยายจำนวนลูกค้ากลุ่มบีทูบีให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานภายในองค์กร และการติดตามบริหารลูกหนี้เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงทางธุรกิจ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,203 วันที่ 23 - 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559