มกอช. เจรจาโคเด็กซ์ แก้ไขมาตรฐานสับปะรดกระป๋องสำเร็จ

17 ต.ค. 2559 | 06:40 น.
มกอช. เจรจาโคเด็กซ์ แก้ไขมาตรฐานสับปะรดกระป๋องสำเร็จ คาดเอื้อประโยชน์ไทยเพิ่มสัดส่วนการส่งออกสับปะรดเพิ่มขึ้น ตอกย้ำครองแชมป์อันดับ 1 ประเทศผู้ส่งออกในตลาดโลก

นางสาวดุจเดือน  ศศะนาวิน  เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการโคเด๊กซ์ สาขาผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้ ครั้งที่ 28 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.สหรัฐอเมริกา ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา มกอช. พร้อมด้วยอุปนายกและประธานกลุ่มผู้ผลิตสับปะรด สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปเข้าร่วมประชุมเพื่อแก้ไขมาตรฐานสับปะรดกระป๋องที่มีการประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2524 ให้สอดคล้องกับรูปแบบการค้าในปัจจุบัน ซึ่งได้ขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมถึงสับปะรดที่ไม่เจาะแกน และสับปะรดที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวหรือถุงเพาซ์ด้วย โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ประเทศไทยเป็นประธานคณะทำงานแก้ไขมาตรฐานดังกล่าว  ซึ่งผลสำเร็จจากการประชุมครั้งนี้ ประเทศไทยได้นำเสนอผลการแก้ไขมาตรฐานสับปะรดกระป๋องให้คณะกรรมการพิจารณา จนได้รับการยอมรับให้เสนอคณะกรรมาธิการโคเด๊กซ์ เพื่อประกาศรับรองให้เป็นมาตรฐานระหว่างประเทศโดยเร็วต่อไป

สำหรับมาตรฐานสับปะรดกระป๋องฉบับใหม่มีการแก้ไขในประเด็นสำคัญๆ 5 เรื่อง ดังนี้  1. ปรับเกณฑ์ความสม่ำเสมอของสับปะรดแบบลูกเต๋า ให้ยอมรับขนาดที่เล็กกว่า 8 มิลลิเมตร หรือน้ำหนักน้อยกว่า 3 กรัม โดยไม่ถือว่าเป็นสับปะรดที่ไม่ได้ขนาด หรือไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งปัจจุบันตลาดมีความต้องการสับปะรดลูกเต๋าขนาดเล็กเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมไอศกรีมและขนมอบ  2. ปรับข้อกำหนดของตำหนิที่เกิดจากการจิกตาสับปะรดให้ชัดเจนมากขึ้น จากเดิมที่ไม่มีการกำหนดขนาดรอยจิกตาไว้ โดยกำหนดใหม่เป็นรอยจิกตาที่มีขนาดมากกว่า 2 มิลลิเมตร จึงจะถือว่าเป็นตำหนิ 3. ปรับแก้ไขน้ำหนักบรรจุขั้นต่ำของเนื้อสับปะรดให้สอดคล้องกับแนวการปฏิบัติทางการค้า โดยกำหนดให้มีน้ำหนักเนื้อสับปะรดในช่วง 58-78% ขึ้นกับรูปแบบผลิตภัณฑ์และชนิดการบรรจุ 4. อนุญาตให้ใช้สารป้องกันการเกิดการออกซิเดชั่นในสับปะรดที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวหรือถุงเพาซ์ 5. เพิ่มรูปแบบผลิตภัณฑ์สับปะรดชนิดไม่เจาะแกน เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่ต้องการอาหารที่มีใยอาหารมากขึ้น ขณะเดียวกัน มาตรฐานฉบับนี้จะไม่บังคับใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เติมสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล เช่น ซูคราโลส เป็นต้น

ดังนั้น ความสำเร็จในการเจรจาแก้ไขมาตรฐานสับปะรดกระป๋องในครั้งนี้ คาดว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคของอุตสาหกรรมการผลิตสับปะรดกระป๋องของไทย  และส่งผลให้ไทยสามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกสับปะรดสับปะรดกระป๋องไปยังตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะการคงเป็นอันดับ 1 ในการส่งออกสับปะรดกระป๋องไปยังตลาดโลก และครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 50 % ซึ่งเฉลี่ยในแต่ละปีไทยสามารถส่งออกได้ประมาณ 35,000 – 40,000 ล้านบาท โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ แคนนาดา เป็นต้น

 

.