เย็นตาโฟฯโกสิงคโปร์ 2 บิ๊กจับมือสร้างแบรนด์ระดับโลก

15 ต.ค. 2559 | 07:00 น.
ย้อนไปเมื่อกว่า 20 กว่าปีที่ผ่านมาหลายคนมีข้อกังขาในการนำเมนูอาหารอย่าง "เย็นตาโฟ" ขึ้นมาเปิดร้านและจำหน่ายในศูนย์การค้า เนื่องด้วยภาพลักษณ์ของเมนูและความคุ้นเคยของคนไทยที่มีต่ออาหารชนิดนี้ว่าจะต้องเป็นร้านตึกแถวหรือเมนูข้างถนนที่คุ้นตาของหลายคน ซึ่งหากจะขายในห้างจะดูแพงและไม่คุ้นเคยมากนัก แต่แล้ว "อ.มัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ" ผู้บุกเบิกแบรนด์ "เย็นตาโฟเครื่องทรงโดย อ.มัลลิการ์" ก็หักปากกาเซียนสามารถพาแบรนด์ขึ้นห้างฯและสร้างยอดขายได้ถล่มทลายเป็นผลสำเร็จ

มาวันนี้แบรนด์เย็นตาโฟเครื่องทรง โดย อ.มัลลิการ์ ก็ถึงคราวก้าวกระโดดไปอีกหนึ่งสเต็ปด้วยการผนึกกำลังกับยักษ์ใหญ่ระดับโลกในแวดวงธุรกิจอาหารอย่างไมเนอร์ ฟู๊ด กรุ๊ป ฯ ในการพาแบรนด์ไปสู่ตลาดต่างประเทศระดับภูมิภาค

[caption id="attachment_105721" align="aligncenter" width="335"] อ.มัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ อ.มัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ[/caption]

[caption id="attachment_105722" align="aligncenter" width="336"] aaapatta ปัทมาวลัย รัตนพล[/caption]

"ฐานเศรษฐกิจ" ได้มีโอกาสร่วมพูดคุยกับ "อ.มัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มัลลิการ์ แฟรนไชส์ จำกัด พร้อมด้วย "ปัทมาวลัย รัตนพล" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู๊ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในโอกาสร่วมลงนามข้อตกลงในการพาแบรนด์เย็นตาโฟเครื่องทรง โดย อ.มัลลิการ์สยายปีกไปยังประเทศสิงโปร์ พร้อมด้วยทิศทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้

  เปิดแผนร่วมพันธมิตรกรุยทางสู่สิงคโปร์

อ.มัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มัลลิการ์ แฟรนไชส์ จำกัด เปิดเผยถึงที่มาของการร่วมมือครั้งนี้ว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาที่บริษัทเปิดแบรนด์เย็นตาโฟเครื่องทรง โดย อ.มัลลิการ์ขึ้นมา ก็มีผู้ที่ให้ความสนใจเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับทางแบรนด์จำนวนมาก แต่บริษัทจำเป็นต้องหาพันธมิตรที่มีศักยภาพ ที่มีวิสัยทัศน์และความเข้าใจที่ตรงกัน

ท้ายที่สุดจึงมาเป็นการจับมือกับทางไมเนอร์ในการเข้าไปทำตลาดในประเทศสิงคโปร์ โดยในปีนี้บริษัทเตรียมขยายสาขาในสิงคโปร์เพิ่มอีก 3 สาขาใน 3 โลเคชั่นหลักภายในสิ้นปีนี้ ได้แก่ สาขาที่ 1 จะเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน ที่ ย่านออร์ชาร์ด สาขาที่ 2 ในย่านออฟฟิต มหาวิทยาลัย และสาขาที่ 3 ในย่านสปอร์ตคลับ เพื่อรุกกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป ภายใต้งบประมาณการลงทุน 2.5 แสนเหรียญดอลล่าสิงคโปร์หรือราว 6 ล้านบาท บนพื้นที่ 100 ตร.ม. ในโมเดลเดียวกับที่เมืองไทย ขณะที่ราคาขายจะอยู่ที่ 6.50-8.50 เหรียญดอลล่าสิงคโปร์ หรือราว 160-200 บาท

"หากนับค่าครองชีพและต้นทุนต่างๆของทางสิงคโปร์ที่สูงกว่าไทยราว 30% ราคาขายเรตนี้นับว่าใกล้เคียงกับที่เมืองไทย ซึ่งแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคของสิงคโปร์คล้ายคลึงกับคนไทยและให้ความสนใจในอาหารไทยอยู่แล้ว ประกอบกับคนสิงคโปร์นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยเพื่อรับประทานอาหารอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงมองว่านี่เป็นโอกาสสำคัญในการรุกตลาดในต่างประเทศของแบรนด์"

ขณะที่แผนงานในปีหน้าจะเดินหน้าจับมือกับพาร์ทเนอร์อย่างไมเนอร์อย่างต่อเนื่องในการขยายสาขา โดยมีแผนขยายสาขาในประเทศสิงคโปร์เพิ่มอีก 4 สาขา เพื่อรองรับตลาด ในสิงคโปร์อย่างต่อเนื่อง

 "สิงคโปร์" โอกาสของการสร้างแบรนด์ระดับโลก

นางปัทมาวลัย รัตนพล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู๊ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าปัจจุบันการเติบโตในธุรกิจร้านอาหารประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อน ได้แก่ 1.การเติบโตตามการขยายตัวของศูนย์การค้า ปั๊มนำมัน หรือแหล่งพักรถต่างๆ 2.การเข้ามาของแหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ที่ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันหันไปซื้อสินค้าแฟชั่นและอื่นๆในช่องทางออนไลน์มากกว่า ขณะที่ในส่วนของการทานอาหารยังนิยมรับประทานอาหารนอกบ้านอยู่ส่งผลให้ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าหันมาให้ความสนใจในร้านอาหารที่หลากหลายเพื่อดึงดูดผู้บริโภค ทำให้ธุรกิจร้านอาหารมีการขยายตัวที่ดี และ 3.การเข้ามาของผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เข้ามารุกธุรกิจร้านอาหารเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ภาพรวมตลาดมีการขยายตัวตามไปด้วย

ซึ่งในส่วนของไมเนอร์ฯเองมีการขยายรุกตลาดร้านอาหารทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจับมือกับมัลลิการ์ แฟรนไชส์ ในครั้งนี้ถือเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดครั้งสำคัญของบริษัทในการรุกตลาดเข้าไปยังประเทศสิงคโปรเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่บริษัทมีแบรนด์ร้านอาหารในตลาดต่างประเทศอยู่แล้วทั้งสิ้น 9 แบรนด์ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหารไทยเอ็กซเพรส ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยในเครือ บริษัท ไมเนอร์ ฟู๊ด กรุ๊ป จำกัด ซึ่งร้านเย็นตาโฟเครื่องทรง โดย อ.มัลลิการ์ถือเป็นแบรนด์ลำดับที่ 10 ที่บริษัทนำเข้าไปทำตลาด โดยรูปแบบของร้านเย็นตาโฟในสิงคโปร์จะเป็นรูปแบบการให้บริการตัวเอง หรือเซลล์เซอวิส เน้นเจาะลูกค้าที่ต้องการความรวดเร็ว สะดวก

โอกาสของแบรนด์ภายหลังจากที่เข้าไปในประเทศสิงคโปร์ว่า แม้ว่าหลายคนจะมองว่าตลาดสิงคโปร์มีขนาดเล็กและเริ่มถึงจุดอิ่มตัวในการขยายธุรกิจ แต่อย่าลืมว่าสิงคโปร์คือศูนย์กลางหรือฮับในหลายๆด้านของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน ดังนั้นการเริ่มต้นเปิดตลาดที่สิงคโปร์ไม่ใช่แค่เรื่องของยอดขายเท่านั้นที่ต้องคำนึงถึง แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญของการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เนื่องจากสิงคโปร์ถือเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับเรื่องของการใช้ชีวิต คุณภาพชีวิต และความน่าเชื่อถือในระดับโลก ดังนั้นการไปสร้างแบรนด์และสามารถสร้างชื่อเสียงที่นั่นได้ ถือว่าเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการสร้างการรับรู้ไปไม่เพียงในภูมิภาค แต่ยังไปถึงระดับโลกอีกด้วยเนื่องจากสิงคโปร์มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและกลุ่มนักท่องเที่ยว

 ผนึก "อาจิเซน ราเมน" บุกอินโดนีเซียต่อเนื่อง

ด้านนายชยพล หลีระพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท มัลลิการ์ แฟรนไชส์ จำกัด เผยถึงแผนงานในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศนับจากนี้ว่า หลังจากที่เข้าไปทำตลาดไปประเทศสิงคโปร์แล้ว ล่าสุดบริษัทมีการเจรจารร่วมกับพาร์ทเนอร์รายใหม่อย่างบริษัทที่ทำร้าน "อาจิเซน ราเมน" ในอินโดนีเซียกับการพาแบรนด์เย็นตาโฟเครื่องทรง โดย อ.มัลลิการ์ เข้าไปทำตลาดในประเทศอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการเข้าไปจัดโรดโชว์ เพื่อสร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์ เบื้องต้นอยู่ระหว่างการเจรจา โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถเข้าไปเปิดสาขาแรกได้ในช่วงต้นปี 2560 นอกจากนี้ยังมีประเทศไต้หวัน และฟิลิปปินส์ ที่บริษัทให้ความสนใจการเข้าไปขยายตลาดเนื่องจากมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางการเติบโต

"แม้ปัจจุบันโรงงานของเราจะมีคุณภาพและมาตรญานแล้ว แต่ในปีนี้เรามีการปรับโครงสร้างและลงทุนในโรงงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายตัวไปยังต่างประเทศของแบรนด์ในเครือฯ ให้ได้คุณภาพมาตรฐานของแต่ละประเทศซึ่งมีข้อกำหนดและกฏหมายที่แตกต่างกันออกไป"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,200 วันที่ 13 - 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559