ฟังวิสัยทัศน์แม่ทัพใหญ่‘ฟิลิปส์’ เมื่อเทรนด์ ‘ไลติ้ง’ เป็นมากกว่าแสงสว่าง

12 ต.ค. 2559 | 08:00 น.
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราได้เห็นเทคโนโลยีในตลาดทีวีเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนผ่านจากทีวีแบบจอแก้ว และ LCD TV สู่ยุคของ LED TV และพัฒนาสู่ยุคของ Smart TV ในที่สุด มาวันนี้ถึงคิวของกลุ่มผลิตภัณฑ์สองสว่างอย่างหลอดไฟกันบ้างที่เริ่มมีแนวโน้มและเริ่มเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีเก่ามาเป็นเทคโนโลยีใหม่อย่างแอลอีดี ที่เป็นมากกว่าการส่องสว่างหากแต่ยังมาพร้อมฟังก์ชั่นที่หลากหลาย ทั้งการปรับแสง การใช้งาน เป็นต้น

"ฐานเศรษฐกิจ" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "เฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ" แม่ทัพใหญ่กลุ่มไลติ้งในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถึงทิศทางหลอดไฟ และตลาดแสงสว่างในประเทศไทยภายหลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านนี้ถึงการปรับตัว แผนงาน และทิศทางการตลาดเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

 เปิด 4 แผนงาน นำ "ฟิลิปส์" ย้ำแชมป์ผู้นำแสงสว่าง

"เฉลิงพงษ์ ดรงค์สุวรรณ" เผยว่าภาพรวมธุรกิจไลติ้งช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตเทียบเท่าจีดีพีของประเทศ โดยส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบมาจากเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัวมากพอสมควร ขณะที่ส่วนที่พอขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมเติบโตได้คือเรื่องของโครงการต่างๆของภาครัฐ ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจหลอดไฟหรือธุรกิจส่องสว่างในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาภาพรวมหลอดแอลอีดี มีอัตราการเติบโตแบบรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง จนสามารถเพิ่มสัดส่วนกลุ่มหลอดไฟแอลอีดีในตลาดมาอยู่ที่ 34-35 % ขณะที่ตลาดส่องสว่างทั้งหมดแบบแอลอีดี ที่รวมถึงโคมไฟต่างๆคาดการณ์ว่าน่าจะมีสัดส่วนเกือบ 50% จากภาพรวมตลาดส่องสว่างทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ผู้ประกอบการหลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

สำหรับแผนงานและนโยบายของบริษัทเพื่อสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวประกอบไปด้วย 1.การมีวิสัยทัศน์ที่ดี ส่งไปยังผู้พนักงาน ตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ในทุกเรื่อง 2.การสร้างแรงบันดาลใจที่ต้องมีการสร้างภายในองค์เพื่อให้เนื้องานสารถเดินไปได้ 3.การสร้างทีมที่มีความแตกต่าง สามารถทำงานร่วมกันได้หลากหลาย มีการแลกเปลี่ยนความคิดเพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งในการรองรับความต้องการของผู้บริโภค ผ่านการคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ และ 4.การต้องเป็นองค์กรทีประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการเป็นผู้นำในธุรกิจส่องสว่างอย่างต่อเนื่อง ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Light beyond illumination แสงสว่างเป็นมากกว่าการให้ความสว่าง"

 เมื่อเทรนด์ "ไลติ้ง" เป็นมากกว่าแสงสว่าง

ทั้งนี้แนวโน้มที่แอลอีดีจะเข้ามาแทนหลอดไฟแบบเดิมนั้น นั้นเบื้องต้นยังไม่สามารรถระบุระยะเวลาที่แน่ชัดได้แต่จะเป็นรูปแบบของการทยอยเปลี่ยนที่ละขั้นตอนตามรูปแบบการใช้งาน เช่น ในกลุ่มหลอดแอลอีดีที่ใช้ในบ้านจะถูกเปลี่ยนถ่ายก่อน ตามมาด้วยกลุ่มอุตสาหกรรม อาคาร ตึกออฟฟิศ ขณะที่ในสถานที่ๆต้องการแสงสว่างสูงอย่างสยามกีฬา ท้องถนน หลอดแอลอีดีก็ยังไม่สามารถแทนได้ 100% เพราะมีปัจจัยในเรื่องของแสงและการใช้งานเข้ามาเกี่ยวข้อง

สำหรับเทรนด์ตลาดปัจจุบันเมืองไทยถือว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีเก่ามาเป็นแอลอีดี ในอนาคตมองว่าเทรนด์ตลาด แยกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ กลุ่มลูกค้าทั่วไป และกลุ่มลูกค้าโครงการ ซึ่งหากพูดถึงกลุ่มลูกค้าทั่วไปหรือคอนซูเมอร์คนส่วนใหญ่จะนึกถึงหลอดไฟ และโคมไฟเพียงเท่านั้น แต่ในอนาคตมองว่าจากเทคโนโลยีแอลอีดีที่เข้ามาซึ่งจะมีข้อได้เปรียบเรื่องงานอายุการใช้งานที่ยาวนานมาก 1-5 หมื่นชั่วโมง ขณะที่หลอดไส้มีอายุการใช้งาน 1,000 ชั่วโมง หลอดประหยัดไฟ 6,000-8,000 ชั่วโมง และหลอดฟลูออเรสเซนส์มีอายุการใช้งาน 1-2 หมื่นชั่วโมง

 เมื่อเทรนด์เปลี่ยนการตลาดต้องปรับตัวตาม

ดังนั้นสิ่งที่กระทบต่อตลาดผู้บริโภคทั่วไปเป็นลำดับแรกคือรูปแบบการทำตลาดที่จะสื่อสารไปยังผู้บริโภคที่ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย โดยจะต้องทำความเข้าใจเรื่องอายุการใช้งานและระยะเวลาในการเปลี่ยนการใช้งานหลอดไฟจะยาวนานขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อโอกาสทางการขายที่น้อยลง แต่มีข้อดีเรื่องฟังก์ชั่นเข้ามาประกอบ ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟกระพริบ หลอดไฟแบบ LED สามารถหรี่แสงปรับความสว่างได้ ,หลอดไฟ LED ที่มี 2 สีในหลอดเดียวกันทั้งสีเหลืองและสีขาว ฯลฯ เข้ามารองรับตลาดแทน ดังนั้นแนวทางการทำตลาดที่สำคัญคือทำอย่างไรถึงจะสื่อสารเรื่องของฟังก์ชั่นที่มาพร้อมหลอดแอลอีดีให้ผู้บริโภคเข้าใจ เกิดการยอมรับ จนนำไปสู่การซื้อเพิ่ม

"ในตลาดการทำตลาดในกลุ่มอุปกรณ์ส่องสว่างหรือหลอดไฟจะไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนหลอดเมื่อหมดอายุการใช้งานเท่านั้น หากแต่เป็นการเปลี่ยนการใช้งานหลอดไฟตามฟังก์ชั่นการใช้งานแบบไหนมากกว่า ดังนั้นตรงนี้เราต้องมีการตอบโจทย์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในการทำตลาด ซึ่งในส่วนของฟิลิปส์เองก็แผนการเปิดตัวหลอดไฟ หรือโคมไฟ โคมไฟดาวน์ไลต์แบบใหม่ๆออกมารองรับตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เปิดตัวโคมไฟดาวน์ไลต์ ในรุ่น เมสัน ออกมาทำตลาดในช่วงนี้ โดยมีระดับราคาตั้งแต่ 149-229 บาท ก่อนที่จะมีไลน์อัพใหม่ๆเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องในปีหน้า"

ขณะที่ในส่วนของลูกค้าโครงการนั้น บริษัทแบ่งการขยายตลาดออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ 1.กลุ่มอุตสาหกรรมแสงส่องสว่าง และอุตสาหกรรมเทเลคอม ที่ในอนาคตจะมีการใช้งานอุปกรณ์ส่องสว่างผ่านและควบคุมผ่านแอพพลิเคชั่น โดยชูคอนเซ็ปต์ความเป็นสมาร์ทและอีโคซิสเต็มเข้ามารองรับ เบื้องต้นปัจจุบันบริษัทได้ขยายงานเข้าไปในกลุ่มลูกค้าโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทแวร์เฮาส์,สมาร์ทพาร์กกิ้ง ผ่านนวัตกรรมแอลอีดีรูปแบบใหม่

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,199 วันที่ 9 - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559