‘ดอยช์แบงก์’อันตราย! นักวิเคราะห์ชี้หุ้นไทยแกร่ง กลุ่มค้าปลีก วัสดุก่อสร้าง เด่น

04 ต.ค. 2559 | 01:00 น.
นักวิเคราะห์ เตือนปัญหาดอยช์แบงก์ เป็นความเสี่ยงใหม่ซํ้าเติมหุ้นโลก ส่วนข้อตกลงโอเปกเรื่องลดกำลังผลิตน้ำมัน ทิสโก้ มองดันราคาขึ้นแค่ระยะสั้น พร้อมเตือน 2 ปัจจัยเสีย่ งจากการบังคับใช้ และการเรง่ การผลติ ของสหรฐั ฯ กดดันระยะยาว เชื่อหุ้นไทยยังได้แรงหนุนจากไหลเข้า พบ 9 เดือนต่างชาติกอดหุ้นแน่น 1.33 แสนล้านบาท กลุ่มค้าปลีก วัสดุก่อสร้าง รับอานิสงส์ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ไอร่า จำกัด คาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นไทยจะผันผวนตามตลาดโลก ภายใต้ความไม่แน่นอน และความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเงินของดอยซ์แบงก์ หลังกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา เรียกร้องค่าปรับเป็นมูลค่าสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ทั้งรัฐบาลเยอรมัน และสถาบันการเงินหลายแห่ง พร้อมให้ความช่วยเหลือ หากธนาคารไม่สามารถเพิ่มทุนได้ รวมถึงความเชื่อมั่นต่อธนาคารในสหรัฐฯ

นอกจากนี้มีความไม่มั่นใจต่อข้อตกลงลดการผลิตของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่สามารถทำได้ รวมถึงประเด็นความกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ที่คาดว่ามีขึ้นอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่กลับมากดดันภาพรวมตลาดหุ้น อีกครั้งหลังจากนี้ ซึ่งเฟดเหลือการประชุม 2 ครั้งในปีนี้ คือวันที่ 1-2 พฤศจิกายน และวันที่ 13-14 ธันวาคม 2559 นี้

ด้านปัจจัยในประเทศ แม้ยังไม่มีประเด็นชี้นำใหม่ ๆ คาดว่าภาพรวมยังได้รับปัจจัยหนุนจากกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) แม้มูลค่าซื้อขายสุทธิ จะมีความผันผวนบ้าง แต่ยอดซื้อสุทธิสะสมในรอบ 9 เดือน ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 1.33 แสนล้านบาท

ทั้งนี้บล.ไอร่าฯ แนะนำติดตามหุ้นในกลุ่มค้าปลีก รวมถึงหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่เน้นลูกค้าระดับล่าง-กลาง ที่คาดว่าได้รับประโยชน์จากการที่มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่มีรายได้น้อย โดยลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ที่คาดช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ

ด้านนายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่ผ่านมา กลุ่มโอเปก ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการลดโควต้าการผลิตน้ำมันของกลุ่มเป็น 32.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับปัจจุบันในเดือนสิงหาคม ที่ 33.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ลดลงราว -3.5% หรือ -1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ซึ่งเป็นการตกลงลดโควต้าการผลิตน้ำมันครั้งแรกในรอบ 8 ปี ส่งผลให้ตลาดตอบรับในเชิงบวก โดยราคาน้ำมัน WTI และ Brent +5.3% และ +5.9% เป็น 47.26 และ 48.94 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ

ขณะที่ทิสโก้ มองว่าการลดโควต้าการผลิตน้ำมันจะส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานของราคาน้ำมันในปีหน้าอย่างมีนัยสำคัญหากสามารถบังคับใช้ได้จริง โดยโควต้าการผลิตใหม่จะส่งผลให้ตลาดเข้าสู่สมดุลได้เร็วขึ้นจากไตรมาส 2/2560 เป็นไตรมาส1/2560

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงข้อตกลงในเบื้องต้น โดยกลุ่มโอเปก ยังต้องหารือในรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อกำหนดโควต้าของแต่ละประเทศในการประชุมวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งยังมีความเสี่ยงที่แต่ละประเทศจะไม่ยอมลดปริมาณการผลิตตามโควต้าที่ตกลงกันไว้ และจากข้อมูลในอดีตยังชี้ว่าโควต้าการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกนั้นไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างเคร่งครัดนัก โดยในช่วงปี 2552-2558 กลุ่มประเทศโอเปกมีการผลิตน้ำมันเฉลี่ยสูงกว่าโควต้าที่กำหนดไว้ราว 4.5% ซึ่งหากในครั้งนี้ประเทศสมาชิกผลิตน้ำมันเกินกว่าโควต้าเพียงแค่ 3.5% ก็จะส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันไม่ได้ลดลงจากปัจจุบัน นอกจากนี้หลายประเทศในกลุ่มโอเปก กำลังประสบปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนัก ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้แต่ละประเทศเร่งผลิตและส่งออกน้ำมัน เพื่อลดการขาดดุลดังกล่าว

ด้านการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากราว 300 แท่นในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2559 มาอยู่ที่ 418 แท่นในปัจจุบัน (เพิ่มขึ้นกว่า 30%) ตามราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้นมายืนที่ระดับ 40-50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล (จากประมาณ 30 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในช่วงไตรมาส 1) ซึ่งการเพิ่มขึ้นของแท่นขุดเจาะน้ำมันชี้ว่าระดับราคาน้ำมันที่ 40-50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลนั้น สูงเพียงพอที่จะทำให้ผู้ผลิตน้ำมันเชลล์ออย (Shale Oil) ในสหรัฐฯ กลับมามีกำไรและเริ่มหันกลับมาลงทุนขุดเจาะน้ำมันเพิ่มขึ้น และทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ซึ่งมักเคลื่อนไหวตามหลังจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันอยู่ราว 3-4 เดือนมีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4

ข้อตกลงลดโควต้าการผลิตน้ำมันของโอเปก ซึ่งส่งผลบวกต่อราคาน้ำมันในระยะสั้น อาจส่งผลให้การลงทุนขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ กลับมาเร่งตัวขึ้น และทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด และช่วยชดเชยปริมาณน้ำมันที่ลดลงจากกลุ่มโอเปก ได้บางส่วน เราจึงคาดว่าข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยพยุงราคาน้ำมันในระยะสั้น แต่ในระยะยาวความไม่แน่นอนในการบังคับใช้โควต้า และแนวโน้มการเพิ่มการผลิตน้ำมันจากสหรัฐฯ จะกดดันไม่ให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นได้มากนัก และยังคงคาดว่าราคาน้ำมัน WTI จะซื้อขายในกรอบ 40-50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในช่วงที่เหลือของปีนี้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,197 วันที่ 2 - 5 ตุลาคม พ.ศ. 2559