ปัญหาพระปิดตา

02 ก.ค. 2565 | 04:59 น.

คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

เวลานี้ศิลปะวัตถุที่อาจ นับเปนโบราณวัตถุได้ด้วยของไทยเรามีราคาเปนที่น่าแสวงหาของตลาดต่างชาติซึ่งนิยมพระเครื่องพระบูชากันอย่างน่าแปลกใจในยุคดิจิตอลนี้ โดยมีพระเครื่องชนิดหนึ่งที่ปิดตา ฝรั่งมังค่าก็ว่า พระนี้อะไรปิดทำไมล่ะตา? แล้วจะมองเห็นหรือ? ถ้าว่าปิดอย่างนั้น ก็แลดูว่าถึงเวลาจะขยายตัวความว่าพระปิดตาคืออย่างไร และปิดทำไม ดังเบาะแสที่ได้มาต่อไปนี้ 
 

ครั้งหนึ่งคณะสร้างพระนำรูปพระปิดตาอวบอ้วนมีรัศมีเปลวเพลิงล้อมรอบไปเข้าพบครูบาชัยยะวงศาพัฒนาที่พระพุทธบาทห้วยต้ม เมืองลี้ ลำพูน นัยยะว่าน่าจะทำล็อกเก็ตด้วยรูปพระปิดตาในเปลวเพลิงนี้ออกให้เช่าบูชา เพื่อว่าจะมีรายได้ไปสมทบทุนสร้างองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากองจำลองของครูบาที่พระบาทห้วยต้มนั้น

ครูบาท่านพิจารณารูปพระปิดตาอวบอ้วนในเปลวเพลิงนั้นอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยวาจาปรารภขึ้นว่า “นี่รูป เข้านิโรธสมาบัติ”
 

-ตัดไปอีกมุมหนึ่งของประเทศ-
 
 

ที่บ้านบึง เมืองชลบุรี พวกผู้ใหญ่ยุคสามสิบสี่สิบปีก่อน เล่นหาและให้ความนับถือแก่พระปิดตาหลวงพ่อแก้ววัดเครือวัลย์ หลวงปู่ครีพ วัดสมถะ หลวงปู่เจียม วัดกำแพง หลวงปู่โต วัดเนิน หลวงปู่ภู่ วัดนอก นักเลงพระว่า พระปิดตาห้าเสือเมืองชล นัยยะว่ามีคุณวิเศษเปนที่อัศจรรย์หลายประการสนนราคาเปนแสนเปนล้านและเคยว่าถึงสิบล้านในกรณีหลวงพ่อแก้ว

อนึ่งบรรทัดนี้เพื่ออนุสรณ์คำนึงถึงเส้นทางของหลวงพ่อแก้ว ว่ากันว่าท่านลัดอ่าวไทยไปมาระหว่างเมืองเพชร(พริบพรี) และเมืองชลบุรี (บางปลาสร้อย) ที่เมืองเพชรนั้นวัดอยู่ชายอ่าว เรียกกันว่าวัดปากทะเล หากว่าเลาะเส้นทางคลองโคนไปออกหาดเจ้าสำราญในวันนี้จะมีสองวัด วัดในปากทะเล กับ วัดนอกปากทะเลทั้งสองวัดต่างว่าหลวงพ่อแก้วเคยมาอยู่จำวัดจำพรรษา
 

เส้นทางลัดอ่าวไทย เมืองเพชรเมืองชลนี้ ถูกใช้เปนทางลึกลับในหมู่มือปืนสองเมืองเช่นกัน ถ้าว่ายิงเขาตายที่เมืองเพชร เพื่อนก็ลงเรือตัดอ่าวไปโผล่เมืองชล ตำรวจตั้งด่านถนนเพชรเกษมหาเจอโจรมือยิงเขาตายไม่ ไปลือกันว่ามือยิงมีของวิเศษหายตัวกันเสียอย่างงั้น และเปนเรื่องในทางกลับกันเมื่อ “ซุ้ม” มือปืนเมืองชล ยิงเขาตายก็ลัดอ่าวหนีคดีมาเมืองเพชร เปนมิตรทางมิจ(ฉา) กันโดยสวัสดิภาพ
 

ยุคถัดมาจากประดา 5 เสือเมืองชล ผู้นิยมในทางนักเลงนั้นพวกอ่างศิลานับถือนัก คือพระปิดตา ของท่านเจ้าคุณศรี พระวิสุทธิสมาจารย์ วัดอ่างศิลา อันนี้มีคนเห็นกับตาว่า นักเรียนอาชีวะแทงกัน ไม่เข้า ลงไปดูในความชุลมุนพบว่า คนถูกแทงและถูกรุม คล้องพระปิดตาอ่างศิลา หลังยันต์กระบองไขว้ 
 

ปัญหามีว่า พระปิดตานี้คืออะไร ทำไมต้องปิดตา และดีอย่างไร? ก็คงต้องใช้พื้นที่เวลาเกริ่นนำพาไปดูการสร้างพระปิดตายุคหลัง 2500 ที่ยังมีหลักฐานการสร้างเปนมั่นเปนเหมาะกันอยู่ก่อน


 

เริ่มที่ปากพนัง นครศรีฯ สถานที่ซึ่งคนแรง ของแรง พระเดชพระคุณพระครูนิโครธจรรยานุยุตหลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ เปนผู้มีตบะเดชะมาก กำหราบนักโทษนักเลวต่างๆได้อยู่หมัด จนทางราชการสมนาคุณค่าใช้จ่ายให้เดือนละสามพันบาท ใครมีโทษทำผิดทำบาปไว้ เขาไม่ได้ไปหาทนายหน้าหยกพามามอบตัวที่หน้า สนง. ตำรวจแห่งชาติเพื่อให้โดน ผบ. เอากุญแจมือคล้องสับจับกุมกันเสียเมื่อไร, เขาไปหาพ่อท่านมุ่ย สารภาพบาปที่ท่านพ่อมุ่ย ท่านเอ่ยวาจาสิทธิ์รับประกันคุ้มชีวิตแล้วไซร้ ไอ้คนนั้นไม่ตาย 


ไม่ว่าจะโดยตำรวจวิสามัญ ไม่ว่าจะโดยคำพิพากษา ไม่ว่าจะโดยฝ่ายผู้ถูกกระทำล้างแค้น รอดทั้งหมดในโทษตาย จากนั้นท่านพ่อมุ่ยจะมีใบบอกไปเจริญพรยังฝ่ายบ้านเมืองให้มารับตัวคนโทษนั้นๆไปดำเนินคดี
 

ใบบอกของท่านพ่อมุ่ยนี้ มีอานุภาพสำคัญ หากแม้นคนโทษผู้ใดมีใบบอกของท่านติดตัวจะมีสวัสดิภาพสวัสดิการแก่ตัว 100% ด้วยลายมือชื่อพระครูนิโครธฯ ท้ายหนังสือมีความศักดิ์สิทธิเข้มขลังนัก  
 

พ่อท่านมุ่ย ได้สร้างพระผงปิดตาไว้จำนวนหนึ่ง เปนที่เลื่องลือว่า พระปิดตาผงปถมังน้ำนมควาย กรรมวิธีจัดสร้างนั้น ท่านเริ่มจากไปเสาะหาใบพญากาสัก ซึ่งเปนส่วนผสมในน้ำหมึกสักยันต์คนคงกะพัน มาลงยันต์คงกะพัน 148 บทก่อน ผิงไฟให้แห้งดีแล้วบดเปนผง จากนั้นเริ่มหุงดินสอเพื่อใช้เขียนกระดานทำผงปถมัง
 

ท่านตั้งเส้ามงคลสามเส้าก่อน แล้วพลีไม้ฟืนมงคลมาเสก จารกระทะและปลุกไม้พาย กวนดินสอพองกับแร่เม้าเสกข้าวเม่าสมุนไพร ได้ที่แล้วจึงเสกน้ำดับไฟเตา เอาปั้นเปนดินสอแท่งวางผึ่งบนผงแกลบ แล้วเผาไฟมงคลอีกรอบ บริกรรมคาถา จึงจะเอามาใช้เขียนสูตรได้
 

จากนั้นท่านต้องเรียกของเข้าตัว เรียกคุณเข้าดินสอ กำหนดภาวนาเเล้วเขียนสูตรลงกระดานดำ หกหุน ทั้งกัณฑ์ อุณาโลม อุโองการองค์ภควัม หัวใจพระพุทธ ฯลฯ เปนตัวสูตรขึ้นมาแล้วจึงลบ
 

ผงที่ได้จากการลบนี้ เรียก ผงปถมัง หากว่าเอาผงปถมังไปหุงป่นทำดินสอแล้วเข้ากระบวนการข้างต้นอีก เขียนสูตรอีก และลบอีก เรียกผง tier 2 นี้ว่า ผงอิทธิเจ


 

หากว่าเอาผงอิทธิเจ ไปหุงดินสออีก เขียนอีก ลบอีก ผง tier 3 นี้เรียก ผงมหาราช
 

หากว่าเอาผงมหาราช ไปหุงดินสออีก เขียนอีก ลบอีก ผง tier 4 นี้เรียก ผงพุทธคุณ
 

หากว่าเอาผงพุทธคุณ ไปหุงดินสออีก เขียนอีก ลบอีก ผง tier 5 นี้เรียก ผงตรีนิสิงเห
 

แม้ว่าคุณพ่อท่านมุ่ยสร้างพระปิดตาคราวนี้ไม่มีหลักฐานจะไปถึงว่าท่านเล่นแร่ถึง tier 5 แต่ว่าผงปถมังของท่านไม่ธรรมดา มีคุณวิเศษกว่าปกติ เพราะท่านมิได้ลบ แต่ใช้วิธีเคาะ ด้วยนะปัดตลอด ทำให้ยันต์สูตรที่ขึ้นโครงไว้ด้วยดินสอเสกบนกระดานหกหุนนั้นทะลุกระดานลงมาสิ้น 
 

ความวิเศษของผงปถมัง x นะปัดตลอดนี้ ได้สำแดงฤทธิ์แห่งความล่องหนตั้งแต่ครั้งแรกคือ ไม่สามารถดักจับรองรับได้ ผงเมื่อทะลุกระดานแล้วตกลงสู่ที่รองรับ เกิดระเหิดเปนละอองล่องลอยหายไปหมด ท่านได้หารือถึงวิธีจับผงปถมังครอสนี้ กับ ท่านพ่อหมุน วัดเขาแดงตะวันออก จึงได้วิธีดักผงโดยการใช้ใบกล้วยทอง ลงสูตรด้วยยันต์ผูกธรณี สมมติเปนที่รองรับตามพระธรณีสูตรที่ว่าของสิ่งใดลอยสูงไปอย่างไรจักตกสู่ดินอยู่ดี
 

เมื่อได้ผงปถมังสะสมไว้มากพอท่านได้รับประเคนน้ำนมควายที่คนมาถวาย จะทิ้งให้บูดเสียหนึ่งคืน ไล่มันไล่น้ำออกจนเหลือผลึกโปรตีนใสอยู่ติดก้นภาชนะ ท่านเรียกว่านมติด จะปั้นก้อนตากแดดอ่อนๆ 1 สัปดาห์ แล้วฝนให้เปนผงอีก
 

จากนั้นท่านจึงตั้งพิมพ์ เอาผงทั้งหลายประสมกันดีเข้าจึงกดพิมพ์เอาไม่ไผ่สีสุกเปนแกน ตั้งธาตุตั้งแต่หัวพระว่า สีสะ นิมิตตัง วิกรึง คะเรตัวพระว่า อังคะนิมิตตัง เท้าพระว่าปาทะนิมิตตัง แล้วจึงวิกรึงคะเร
 

ถัดมาคือขั้นเรียกนาม ท่านคาถาบริกรรม ว่า “นามะนัง นามะโส ยุตตะโถ ยุตตะถะ นามทั้งหลาย อาจารย์พึงหมาย ให้ชื่อว่า ภควัมปติเถระ”
 

ณ จุดนี้จึงฟังได้ว่า การตั้งธาตุ หนุนธาตุแต่ต้นทางมานั้น เพื่อจะเรียกรูปเรียกนามพระที่มีอาการปิดตานี้ว่า “ภควัมปติ” ปติ ก็คือ บดี ที่แปลว่าเปนใหญ่ แล้วภควัม คือใครกัน?
(ต่อตอน 2)


นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 หน้า 18 ปี ฉบับที่ 3,797 วันที่ 3- 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2565