อัศวิน Garter และพู่ลูกเสือ

25 มิ.ย. 2565 | 01:30 น.

คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

เมื่อวันก่อนสื่อมวลชนอังกฤษเขาก็มีเรื่องวงในให้ฮือฮา ด้วยว่าสมเด็จพระบรมราชินีนาถอลิซเบธที่ 2 ผู้ประมุขของราชวงศ์ ต้องเสด็จไปในการพระราชพิธีเข้ากระบวนของเหล่าอัศวินแห่งการ์เตอร์ซึ่งจะแห่กันไปชุมนุมประจำปีที่พระวิหารเซนต์จอร์จในพระบรมมหาราชวังปราสาทวินด์เซอร์
 

แต่ด้วยว่าสมเด็จทรงพระชราภาพมากแล้ว ชนมายุอีกไปกี่ปีจะครบร้อย ก็เลยมีการหารือเปนการภายในว่าผู้ใดจะแทนพระองค์และผู้ใดจะเข้าร่วมกระบวนแห่นี้บ้าง  

พลันเจ้าชายวิลเลี่ยม พระปนัดดาซึ่งผู้คนกะเก็งกันว่าท่านผู้นี้แหละจะได้ครองบัลลังก์จักรภพอังกฤษสืบสันตติวงศ์ต่อๆไป ก็มีถ้อยคำกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า กระบวนนี้แม้เหล่าสมาชิกอัศวินการ์เตอร์ทั้งมวลควรจะเข้าร่วม ทว่ายังมีเสด็จพระเจ้าอาพระองค์สำคัญที่กำลังมีปัญหาในทางสาธารณวิจารณ์กันอยู่ นั่นก็คือ เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุคแห่งยอร์ค ซึ่งมีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวแก่การใช้บริการมนุษย์เด็ก และ กำลังต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มิสมควรจะเข้าร่วมกระบวนเดินเท้าของเหล่าอัศวินประจำปีนี้หรอก
 

แม้ว่าพระเจ้าย่าจะยังทรงลังเลในฐานะว่าเสด็จอาก็ทรงเปนลูกรัก ทั้งพระองค์เองก็ทรงริบยศฐาน์บางส่วนของลูกรักนี้คืนมาแล้ว อีกทั้งการกระบวนยุติธรรมก็ยังไม่สิ้นสุด ในระหว่างมรสุมนี้อัศวินก็น่าจะต้องมีใจกล้าหาญ(อันสุดท้ายนี้สื่อคาดเดาพระทัยไปเอง55)

เจ้าชายผู้รัชทายาทลำดับสอง ก็รำพึงถวายสัจจะวาจาแด่สมเด็จพระเจ้าย่า จนสื่อจับมา quote ได้ความว่า “ถ้าท่านอาเสด็จ, งานนี้ก็ไม่มีหม่อมฉัน” อันเปนการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายคำขาดแด่สมเด็จพระอัยยิกาผู้อยู่ในฐานะประธานเเห่งเครื่องราชย์อิสริยาภรณ์การ์เตอร์อีกตำแหน่งหนึ่ง!
 

เครื่องอิสริยาภรณ์การ์เตอร์นี้มีความสำคัญอย่างไรหนักหนาและภาคีสมาชิกแห่งการ์เตอร์มีเกียรติยศสูงส่งอย่างไรก็ตามที่ได้เล่าไว้ในเรื่องตำราการเปนอัศวิน https://www.thansettakij.com/columnist/465673 
 

มาวันนี้ก็จะขยายความเพิ่มถึงเรื่องการ์เตอร์ ที่แปลว่าเข็มขัดรัดถุงน่อง แต่ก่อนชะร่อนไรมาผ้ายืดมันไม่มีผลิตขาย เหล่าประดาฝรั่งมังค่าเมืองหนาวอัศวิน ใส่ถุงน่องก่อนจะสวมรองเท้า ใส่ไปพักหนึ่งถุงน่องมันก็ย่องรูดลงไปกองอยู่ที่ในรองเท้า เกะกะเฟอะฟะเปนหนักหนา ท่านก็เลยออกแบบให้มีสายรัดถุงน่องถุงเท้า ขัดไว้ด้วยเข็มเรียกอุปกรณ์ดึงรั้งชนิดนี้ว่า garter มีใช้กันหมดทั้งชายหญิง
 

ครั้งหนึ่ง กษัตริย์ริชาร์ดใจสิงห์ผู้เรืองนาม มีพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงว่าครั้งโบราณกาล นักบุญจอร์จแห่งอังกฤษ ทรงเปนทหารไปรบในสงครามศาสนา ข้าศึกจับได้จะให้ละศรัทธา ท่านก็ไม่ยอม_ยอมตายจนกลายเปนมรณะสักขีผู้กล้านั้น


 

ในระหว่างการต่อสู้อันยาวนาน ท่านจอร์จไปรบครั้งใดถึงที่จวนตัวคับขันกลับแคล้วคลาดรอดภัยกลับมาได้เสมอด้วยมีสายรัดถุงเท้าสำคัญใส่ไว้กับตัว อันนี้ก็ไม่รู้ว่าสมัยนั้นท่านมีพระมหาเถรครูอาจารย์ท่านใดทำพิธีเสกเป่าสายรัดขานี้ให้คล้ายๆกับเมืองไทยมีผ้าประเจียดคาดแขนอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ในทางศาสนามีพระฝรั่งอยู่พวกหนึ่งนิยมใส่ไว้เปนเข็มขัดหนาม! เอารัดต้นขาให้เจ็บแปลบบำเพ็ญทุกรกริยา 
 

ก็เอาล่ะ มาต่อที่ว่าเหล่ากษัตริย์อัศวินยุคพระเจ้าริชาร์ดเห็นความสำคัญของสายรัดขาที่ท่านจอร์จใส่ ก็สถาปนาเปนตระกูลแห่งเครื่องราชย์อิสริยาภรณ์ขึ้นมา เรียกว่า ตราการ์เตอร์ ตกลงกันว่าให้มีเทพยดาผู้รักษาคือท่านนักบุญจอร์จมรณะสักขีผู้นั้น และในต่อมาก็มีคาถาเปนภาษิตประจำเขียนไว้ประกอบกันด้วยอักษรโรมันตัวคำฝรั่งเศสโบราณ ถอดได้ความว่า ‘Shame on him who thinks evil of it’ เอาล้อมตราโล่ขาวคาดกากบาทแดงของเซนต์จอร์จเอาไว้ ใครได้รับพระราชทานก็มีเกียรติยศมาก 
 

มาถึงจุดนี้ก็ให้รำลึกถึงตราสำคัญของเมืองไทยคือเครื่องราชย์อิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาไว้
 

ด้วยว่ามีความคล้ายคลึงกันในประเพณีแห่ และการชุมนุมเข้ากระบวนอย่างทำนองเดียวกันเครื่องราชย์การ์เตอร์ ผิดกันที่เมืองไทยเรานั้นไม่ไปวิหารเซนต์จอร์จ แต่ว่าไปปราสาทพระเทพบิดรในพระบรมมหาราชวังแทน


 

คติของเครื่องราชย์ฯจุลจอมเกล้านี้มีจารึกไว้รอบๆดวงตราเปนอักษรย่อ 7 ตัว ว่า “ร.จ.บ.ต.ว.ห.จ” ย่อมาจาก ‘เราจะบำรุงตระกูลวงศ์ให้เจริญ’
 

อันเปนพระราชสัตตยาธิษฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงสถาปนาเครื่องราชย์นี้ ว่าผู้ใดทำราชการถวายไท้ได้เปนประโยชน์เอกอุถึงขีดแล้ว จะพระราชทานเครื่องราชย์นี้ให้ และทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะช่วยบำรุงตระกูลวงศ์ของผู้ทำประโยชน์ซึ่งได้รับพระราชทานนั้นให้มีความเจริญต่อไปภายหน้า แม้ว่าผู้รับพระราชทานจะมรณาไปแล้วก็ตาม (ไม่ต้องกังวลไป)
 

โดยหลักปรัชญานี้เองจึงมีความสอดคล้องกับพระราชกำหนดกฎหมายที่ให้มีการ “สืบตระกูล” ผู้รับพระราชทานตราจุลจอมเกล้าได้ เช่นตัวบิดารับพระราชทานตราชั้น 2 เมื่อมรณะไปแล้ว บุตรชายได้รับพระราชทานตราชั้น 3 สืบตระกูลบิดาต่อไปดังนี้
 

เครื่องราชย์จุลจอมเกล้านี้แต่เดิมมามีจำนวนสำรับจำกัดไว้เหมือนเครื่องราชย์การ์เตอร์ พระราชทานครบจำนวนแล้วต้องระงับยับยั้งไว้ รอให้ ‘ว่าง’ คือมีอัศวินถวายบังคมลาถึงแก่กรรมไป จึงให้ตราที่ว่างลงแก่สมาชิกใหม่ได้
 

ปัจจุบันก็มีการแก้ไขปรับปรุงไปตามกาละเทศะอันเหมาะสม การพระราชทานตราแก่สตรีก็มี ฝรั่งว่า lady of the Garter เมืองไทยพระราชทานตราจุลจอมเกล้าแก่สตรีเรียกกันว่า ‘ฝ่ายใน’ รับพระราชทานแล้วเรียกผู้รับพระราชทานว่า คุณหญิง/ท่านผู้หญิงตามลำดับชั้นตรา

   
 

ในอดีตพระราชทานกล่องหมากหีบหมาก แก่ ‘ฝ่ายใน’ ท่านนั้นๆ ตามลำดับชั้นตราไว้ด้วยถือเปนเครื่องหมายประกอบเกียรติยศ มีความสวยงามล้ำค่าเกินบรรยาย
 

ส่วนผู้ชายหรือ ‘ฝ่ายหน้า’ นั้น พระราชทานโต๊ะทอง/พานทอง ซองบุหรี ซองพลู มีดด้ามทอง กระบี่ทอง ฯลฯประกอบเกียรติยศ ตามชั้นไป ยามเมื่อมรณาลงไปก็พระราชทานหีบ/โกศ บรรจุศพให้อีก 
 

ซึ่งหลายคราวขุนนางวานิชจีนได้รับพระราชทานโกศศพตามเกียรติยศ แต่โดยประเพณีและคติทางศาสนา ท่านเหล่านั้นมิได้ชำระร่างด้วยไฟแต่ใช้วิธีฝังสุสานแทน ท่านก็นั่งโกศลงในสุสานฮวงซุ้ยนั้นเลย มิได้ย้ายลงนอนหีบ เช่น มหาอำมาตย์ตรี พระยาพิพัฒธนากร อดีตกรรมการพระคลังข้างที่ กรรมการสภากาชาดไทย สมาชิกวุฒิสภาที่หินหน้าหลุมจารึกก็ปัดทองสลักรูปโกศไว้
 

ส่วนในกรณี การ์เตอร์นั้น ใครรับพระราชทานไปก็เอาตราไปล้อมชื่อตัวเปนป้ายติดบ้านได้ มีเกียรติยศสูง สมเด็จพระบรมราชินีนาถเองยามเมื่อทรงฉลองพระองค์ลดรูปเข้ารหัส ก็ทรงรัดเข็มขัดเเห่งอิสริยาภรณ์การ์เตอร์ไว้ที่พระพาหาซ้าย
 

ส่วนกรณีลูกเสือบ้านเราที่ว่าพอเรียนสามัญรุ่นใหญ่แล้วไปใส่ทำไมพู่แดงๆเขียวๆที่ถุงเท้า ก็ตอบว่ามันก็เอาไว้รัดกันยู่มาแต่โบราณ ก็ใช้ต่อเนื่องมา มีหลายสีเอาไว้แบ่งหมู่แบ่งเหล่า เวลาผู้ดีฝรั่งออกไปยิงนกล่ากวาง ก็ใส่รัดไว้เหมือนกันแหละแม้ว่าสมัยนี้ยางยืดมันมีคุณภาพทอปนในผ้าถุงเท้าได้แล้วก็ตาม


นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 หน้า 18 ฉบับที่ 3,795 วันที่ 26 - 29 มิถุนายน พ.ศ. 2565