ได้เวลาแก้เกณฑ์ ปล่อยผีหุ้นรีซูมเทรด???

18 มี.ค. 2565 | 00:00 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** เฟด (ธนาคารกลางสหรัฐ) ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกที่ 0.25% ขณะที่คาดการณ์ว่าในการประชุม FOMC ที่ยังเหลืออีก 6 ครั้ง จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งละ 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยช่วงปลายปีนี้ อาจจะอยู่ที่ 1.75-2.00% ทำให้ดอกเบี้ยของธนาคารทั้งโลกรวมทั้งธนาคารไทยเดินไปในทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น
 

เจ๊เมาธ์ก็บอกตลอดมาว่า ในจังหวะดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้หุ้นที่จะได้อานิสงส์มากที่สุดคือ หุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารใหญ่อย่าง KBANK BBL SCB KTB และ TTB รวมไปถึงธนาคารกลางและเล็กอื่นๆ ที่ไม่ได้พูดถึง 
 

ถึงแม้ธนาคารไทยจะไม่ผูกพันว่าจะต้องขึ้นดอกเบี้ยตามไปด้วย แต่การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ก็จะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่า และมี Funflow ส่วนหนึ่งไหลกลับไปที่สหรัฐ ผนวกกับการที่อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งสูงที่สุดในรอย 13 ปีของไทย จะกลายเป็นแรงกดดันให้ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 

*** กลับมาที่หุ้น A5 ราคาหุ้นยังไม่โงหัว ดราม่าผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่ขนหุ้นออกมาขายผ่านตัวกลางกินหัวคิว และสาดทิ้งบนกระดาน ผ่านนอมินีนับ 100 ล้านหุ้น  ความเสียหายครั้งนี้ นับ 100 ล้านบาท 
 

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ จะไม่เกิดขึ้นเลย และจะไม่มีใครโยนปัญหาใส่ “เกรียงไกร” ให้เป็นแพะ แต่เพราะความบังเอิญ ตรงไปตรงมา รายงานขายหุ้น บางส่วน 3% ตอนนี้คงเหลือ 22% และลาออกจากการเป็นกรรมการ 
 

ทั้งหมด คงต้องไปแก้ที่ต้นเหตุ กฎเกณฑ์ ตลาดหลักทรัพย์ ที่ปล่อยให้หุ้นเดิม ออกมาซื้อขาย โดยไม่ล็อกหุ้นทั้งหมด 100% ภายในเวลาหนึ่ง  เพราะกฎเกณฑ์ที่ใช้อยู่นี้ทำร้ายนักลงทุนรายย่อย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ และ ก.ล.ต. ควรเข้ามาดูแล ปรับปรุงกฎเกณฑ์หรือยัง ???? 
 

*** เจ๊เมาธ์มีมุมมองที่เป็นบวกกับหุ้นนอนแบงก์อย่าง MTC TIDLOR และ SAWAD ซึ่งถูกมองว่าจะได้รับผลกระทบด้านลบจากดอกเบี้ยขาขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะราคาหุ้นกลุ่ม ปรับตัวลงมามากรวมถึงได้รับรู้แรงกดดันจากการเป็นดอกเบี้ยขาขึ้นไปแล้ว 
 

ขณะที่อีกมุมหนึ่งเจ๊มองว่า หุ้นนอนแบงก์สามารถที่จะปรับตัวได้ไม่ยาก เนื่องจากมีฐานลูกค้าที่ค่อนข้างจะกว้าง ขณะที่ดอกเบี้ยขาขึ้นก็จะทำให้ความต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มสูงมากขึ้นซึ่งจะส่งผลให้สามารถขายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นสำหรับเจ๊เมาธ์...หุ้นกลุ่มนอนแบงก์ ยังน่าสนใจและเล่นได้เช่นเดิม 

*** ดูเหมือน ZIGA จะใช้เวลาในการตั้งหลักอยู่นานพอสมควรหลังจากที่หลุดออกมาจากคุกการเงิน ส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะกระแสบิตคอยน์ที่ดูเหมือนจะแผ่วลง เพราะโชว์ฟอร์มได้ไม่สวยนักในช่วงสงคราม แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแม้ว่าราคาหุ้นหน้ากระดานของ ZIGA ก็ยังสูงกว่าราคาหุ้นก่อนที่จะจุดกระแสเหมืองขุดบิตคอยน์เกือบเท่าตัว แต่ราคาหุ้นก็ร่วงลงมาจากราคาสูงที่สุดเกือบๆ 70% เช่นกัน 
 

แต่ถ้าจะถามว่าหุ้นตัวนี้ยังน่าสนอีกหรือไม่ เจ๊ก็บอกเลยว่า ตอนนี้ยังมีคนติดดอยที่พร้อมจะขายตัดขาดทุนหลายรายนะคะ แถมบอกตรงๆ เลยว่าตอนนี้ชื่อของ ZIGA มันช้ำมาก ถ้าอยากยังจะไปต่อก็อาจจะต้องรอให้นักลงทุนลืมวีรกรรมเก่าๆ หรือไม่ ก็อาจจะต้องเอาชื่อใหม่มาใช้เพื่อให้เป็นสิริมงคลโน้นเลยนะคะ เจ๊ไม่ได้อคตินะคะ ก็แค่หาทางออกช่วยเท่านั้นค่ะ อิอิอิ
 

*** ภาวะสงครามก็ทำให้เห็นแล้วว่า GULF คือหนึ่งในหุ้นที่แข็งแกร่งตัวจริง เพราะนอกจากสงครามจะไม่ส่งผลกับราคาหุ้นเหมือนหุ้นโรงไฟฟ้าตัวอื่นแล้ว ยังดูเหมือนว่าราคาหุ้นที่พักตัวลงมานี้ กลายเป็นจุดตัดสินใจที่ทำให้นักลงทุนหลายรายซื้อหุ้นตัวนี้ ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องยกให้กับมุมมองในเกมธุรกิจของ เสี่ยกลาง-สารัชถ์ รัตนาวะดี ที่ไม่วางอนาคตเอาไว้กับการผลิตไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ก็ยังมีธุรกิจอื่นที่ GULF เข้าไปลงทุนเพิ่มเติม ไม้ว่าจะธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจด้านการสื่อสาร ธุรกิจด้านเทคโนโลยี หรือ แม้แต่ฟินเทค เสี่ยกลางก็ยังเข้าไปลงทุนด้วยเช่นกัน  ดังนั้นถ้าจะถามว่ามีโอกาสที่ GULF จะไปต่อได้อีกหรือไม่ เจ๊เมาธ์ก็ตอบเลยว่า...ได้ แน่นอนเจ้าค่ะ
 

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,767 วันที่ 20 - 23 มีนาคม พ.ศ. 2565