ไอที 2565 สู่การขับเคลื่อนธุรกิจดิจิทัลเต็มสูบ

10 ธ.ค. 2564 | 12:17 น.

ไอที 2565 สู่การขับเคลื่อนธุรกิจดิจิทัลเต็มสูบ : คอลัมน์บทความ โดย สุภัค ลายเลิศ กรรมการอำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการบริษัท ยิบอินซอย จำกัด หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,738 หน้า 5 วันที่ 9 - 11 ธันวาคม 2564

ไม่นานมานี้ การ์ทเนอร์ได้เผยถึงแนวโน้มเทคโนโลยีไอทีในปี 2565 ในฐานะ เครื่องมือเชิงกลยุทธ์เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจยุคดิจิทัลใน 3 ประเด็นสำคัญคือ คุมเข้มความน่าเชื่อถือ (Engineering Trust) ปรับแต่งเปลี่ยนแปลง (Sculpturing Change) และเร่งสร้างการเติบโต (Accelerating Growth)

 

ความน่าเชื่อถือที่มาพร้อมความปลอดภัย 

ความปลอดภัยของข้อมูลและกระบวนการดำเนินธุรกิจในทุกการเชื่อมต่อที่เกิดโดยคนหรืออุปกรณ์ต่างๆ คือ เครื่องหมายการันตีความน่าเชื่อถือขององค์กรดิจิทัล ซึ่งจะเห็นว่า หลายองค์กรเลือกที่จะนำแพลตฟอร์มคลาวด์-เนทีฟ มาใช้สนับสนุนกระบวนการทำงานออนไลน์ได้อย่างยืดหยุ่นและปลอดภัยมากขึ้น  

การจัดการข้อมูลที่กระจายตามจุดต่างๆ เนื่องจากการใช้งานออนไลน์ที่มากขึ้นให้เสมือนเป็นข้อมูลผืนเดียวกันด้วยเทคโนโลยี Data Fabric เพื่อความสะดวกในการใช้งานและกำกับดูแล 

นอกจากนี้ องค์กรต้องให้ความสำคัญอย่างสูงกับระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่ต้องคำนึง ประเด็นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล ที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับทั้งในและต่างประเทศเช่น PDPA หรือ GDPR ตลอดจนมีโซลูชันบริหารจัดการความปลอดภัย ในทุกลำดับชั้นของระบบไอที ซึ่งมีความสำคัญสูงต่อการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรธุรกิจดิจิทัล

การ์ทเนอร์ กล่าวว่า เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ว่าจะเป็นข้อมูล แอปพลิเคชัน หรือ แพลตฟอร์มการบริการต่างกระจายการใช้งานอยู่ทั้งบนคลาวด์และในดาต้าเซ็นเตอร์ ทำให้ระบบความปลอดภัยที่ทำงานแยกส่วน ไม่ช่วยให้องค์กรสามารถประเมินภาพรวมได้ครบ ถ้วนและอาจกลายเป็นการเพิ่มช่องโหว่ให้กับภัยคุกคามเสียเอง 

 

ดังนั้น แนวคิดการพัฒนาสถาปัตย กรรมความปลอดภัยแบบ Cybersecurity Mesh โดยบูรณาการเครื่องมือความปลอดภัยแต่ละชนิดในทุกโลเคชันให้สามารถแลกเปลี่ยนความหลากหลายของข้อมูลภัยคุกคาม รวมถึงกำหนดแนวทางโต้ตอบร่วมกันได้มี ประสิทธิภาพและรวดเร็ว จึงเป็นสิ่งที่องค์กรดิจิทัลต้องการในปี 2565 โดยเฉพาะเพื่อการรับมือกับแรนซั่มแวร์ที่พุ่งเป้าการโจมตีแบบมีเป้าหมายมากขึ้นต่อระบบงานและข้อมูลสำคัญขององค์กร

 

ไอที 2565 สู่การขับเคลื่อนธุรกิจดิจิทัลเต็มสูบ

 

ปรับแต่งการเปลี่ยนเปลงแบบอัตโนมัติ 

โควิด-19 นับเป็นสถานการณ์ที่ให้บทเรียนราคาแพงสำหรับธุรกิจที่ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง การปรับตัวเข้าสู่ระบบดิจิทัลแบบฉับพลันทันที ทำให้หลายองค์กรต่างมองหาเทคโนโลยีที่ทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันหรือ บริการทางธุรกิจรวดเร็วและเป็นอัตโนมัติมากขึ้น 

ถึงตรงนี้ เราคงพอเห็นภาพของกระบวนการแบบ DevOps ที่สามารถแบ่งปันทรัพยากรเพื่อการพัฒนาและส่งมอบ แอปพลิเคชันสู่การใช้งานทางธุรกิจได้รวดเร็วมากขึ้น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอซึ่งกลายเป็นอาวุธสำคัญในกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งประยุกต์ไปสู่... เช่น การพัฒนาระบบตรวจสอบกระบวนการดำเนินธุรกิจหรือการทำงานของระบบไอที  การเสริมประสิทธิภาพระบบการตัดสินใจของผู้บริหารให้เกิดความแม่นยำสูงสุด การต่อยอดสู่การเพิ่มมูลค่า ทางธุรกิจผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ เป็นต้น

 

เร่งสร้างการเติบโตเหนือคู่แข่ง

เชื่อว่าเป้าประสงค์สูงสุดขององค์กรคือ การมีระบบไอทีที่สามารถนำพาธุรกิจยืนหนึ่งเหนือคู่แข่ง หรือยึดครองส่วนแบ่งการตลาดให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่การ์ทเนอร์เองเคยยํ้าว่า องค์กรควรมองเทคโนโลยีให้ไกลกว่ามีไว้เพื่อปฏิบัติงานประจำวันแต่คือ หนึ่งในเครื่องมือพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจ ดังที่ เกิดขึ้นในขณะนี้ 

อาทิ การพัฒนารูปแบบธุรกิจดิจิทัลที่สนับสนุน-ส่งต่อการทำงานหรือบริการจากระยะไกลให้กับพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้า การสร้างประสบการณ์เชิงบวกของพนักงาน ลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจ การพัฒนาระบบจัดการตนเองแบบเรียลไทม์เพื่อลดข้อผิดพลาดอันเกิดจากการจัดการโดยมนุษย์ในกระบวนการผลิต หรือ การยกระดับการใช้งานเอไอจากการวิเคราะห์ปัญหาสู่การวิจัยพัฒนา หรือสร้างสรรค์สินค้าและบริการใหม่ๆให้กับธุรกิจ เป็นต้น

 

วิทยาศาสตร์ข้อมูลกับธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความสำเร็จและความได้เปรียบทางการแข่งขันในยุคดิจิทัลแม้องค์กรจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยีไอทีที่ก้าวหน้าอย่างคลาวด์ อีอาร์พี บิสสิเนส อินเทลลิเจนซ์ แอปพลิเคชันด้านการตลาด แมชชีนเลิร์นนิ่ง หรือเอไอ แต่หากขาดเครื่องมือกลั่นกรองข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อป้อนเข้าสู่แพลตฟอร์มการทำงานเหล่านี้ ก็ยากที่องค์กรจะสามารถคาดหวังผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ 100% และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องมี วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science)

กระบวนการด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลจะช่วยองค์กรในการจัดการข้อมูลที่มีรูปแบบต่างกันให้มาอยู่บนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางที่เป็นมาตรฐานเดียว เพื่อใช้ในการดำเนินงานหรือกระบวนการวิเคราะห์ขั้นสูงต่อไป  

เช่น การวางแผนกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล บิ๊ก ดาต้า แมชชีน เลิร์นนิ่ง หรือ เอไอ โดยเริ่มต้นที่การ รวบรวม ข้อมูลจาก Log หรือ API ต่างๆ มาทำความสะอาดและจัดเก็บฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าในรูปแบบ SQL และ No SQL จากนั้นทำการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลและนำมากำหนดรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับใช้ทำนายผล และเมื่อทำนายผล เรียบร้อยแล้วก็สื่อสารออกไปในรูปแบบที่เข้าใจง่าย

 

การตลาดที่เคลื่อนด้วยข้อมูลดิจิทัล

ปัจจุบันองค์กรที่ต้องการจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าสามารถใช้เทคโนโลยีไอทีร่วมกับกระบวนการวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันตัวอย่างเช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุกจุดเชื่อมต่อการสื่อสารกับลูกค้าผ่านไอโอที มารวมไว้ในแพลตฟอร์มจัดการฐานข้อมูลชุดเดียวกันแล้วนำมาจำแนกกลุ่มลูกค้าและกำหนดแคมเปญที่เจาะจงและตรงเป้าหมายแต่ละกลุ่ม (Personalized Campaign) ซึ่งช่วยลดการรบกวนลูกค้าในการได้รับข้อมูลที่ตนเองไม่สนใจ 

หรือที่พบบ่อยมากขึ้น คือ ข้อมูลที่เก็บผ่าน เทคโนโลยีระบุตำแหน่งของลูกค้า (Geofencing Technology) ร่วมกับการประมวลผลโดย เอดจ์ คอมพิวติ้ง ซึ่งช่วยให้องค์กรนำเสนอโปรโมชันได้ตรงกับสถานที่ที่ลูกค้าไปหรือทันเวลาขณะที่ลูกค้ากำลังเลือกซื้อสินค้าในร้าน เป็นต้น     

ขณะเดียวกัน เราจะเห็นการสร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อสร้างคุณค่าเชิงบวกให้กับแบรนด์ ตัวผลิตภัณฑ์และบริการ ผ่าน เอไอ หรือ แชทบอท ในการจัดการ หรือ ปรับแต่งเนื้อหาไปตามกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันโดยอัตโนมัติการใช้ เออาร์ หรือ วีอาร์ เพื่อสร้างการสื่อสารการตลาดแบบอินเตอร์แอคทีฟ กระทั่ง การสื่อสารผ่านการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) เช่น สิรี อเล็กซ่า ซึ่งต้องอาศัยฐานข้อมูลดิจิทัลขนาดใหญ่เพื่อให้เทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ถึงตรงนี้เราอาจจะพอได้ยินแนวคิดเรื่อง Content Atomization คือ ความพยายามแตกเนื้อหาที่ต้องการสื่อออกเป็นคอนเท้นต์ย่อยๆ และนำเสนอด้วยรูปแบบและมุมมองที่ต่างออกไป เพื่อให้เกิดการเปิดรับที่ง่ายขึ้นและนำเสนอได้เร็ว ถูกที่ถูกเวลา หรือ ความพยายามขององค์กรในการบูรณาการข้อมูลในระบบอีอาร์พีข้ามไปสู่โซลูชัน การจัดการทรัพยากรทางการตลาด (Marketing Resource Management-MRM) เพื่อร่วมกำหนดแผนการตลาดและงบประมาณ ปรับปรุงประสิทธิภาพงานด้านการตลาดในการสร้างแคมเปญเพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้การพัฒนาเทคโนโลยีไอที นำไปสู่ผลลัพธ์สูงสุดทางธุรกิจยุคดิจิทัลคือ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และเพื่อรักษา Customer Life Value-CLV หรือมูลค่าทางธุรกิจที่ลูกค้ามอบให้ตลอดระยะเวลาการอุดหนุนแบรนด์สินค้าและบริการต่างๆ ขององค์กรไว้ให้ได้นานและมากที่สุดนั่นเอง