ครม.เคาะ​ 6.2 พันล้าน​ สร้างอ่างเก็บนำ้​ "น้ำกิ" จ.น่าน

17 ม.ค. 2566 | 08:35 น.

ครม.ไฟเขียวงบ 6.2 พันล้าน สร้างอ่างเก็บน้ำ "น้ำกิ" จ.น่าน เพิ่มพื้นที่ชลประทาน 3.5 หมื่นไร่ ช่วยประชาชนกว่า 6 พันครัวเรือน

17 มกราคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำ "น้ำกิ" จ.น่าน วงเงินงบประมาณ 6,200 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ 7 ปี (ปีงบประมาณ 2567-2573)

วัตถุประสงค์เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเพาะปลูกและอุปโภคบริโภคของประชาชนในฤดูแล้ง ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในฤดูฝน รวมถึงสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวและขยายพันธุ์ปลาน้ำจืดได้ 

สำหรับโครงการอ่างเก็บน้ำ "น้ำกิ" ตั้งอยู่ในบริเวณบ้านวังผา หมู่ที่ 2 ต.ผาทอง อ.ท่าวังผา จ.น่าน มีพื้นที่รวม 1,733 ไร่ 84 ตารางวา พื้นที่โครงการตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติน้ำยาวและป่าน้ำสวด

ทั้งนี้ คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มีมติเห็นชอบให้กรมชลประทานใช้พื้นที่ดังกล่าวแล้ว และกรมชลประทานได้ดำเนินการรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่พร้อมเสนอรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเรียบร้อยแล้ว

รายละเอียดของโครงการ

โครงการนี้เป็นการก่อสร้างเขื่อนชนิดหินถมแกนดินเหนียว ความจุ 52.31 ล้านลูกบาศก์เมตร ความยาวเขื่อน 845 เมตร ความสูงเขื่อน 81.5 เมตร ความกว้างสันเขื่อน 12 เมตร พร้อมอาคารประกอบ เช่น อาคารส่งน้ำ อาคารทางระบายน้ำล้น และระบบชลประทานแบบท่อส่งน้ำและคลองส่งน้ำคอนกรีต ความยาวรวม 88.13 กิโลเมตร

ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ

มีพื้นที่ชลประทานเกิดขึ้นจำนวน 35,558 ไร่ มีประชาชนได้รับประโยชน์ 6,305 ครัวเรือน ครอบคลุม 8 ตำบลของจ.น่าน ได้แก่

  • ต.ผาทอง
  • ต.ผาตอ
  • ต.ป่าคา
  • ต.แสนทอง
  • ต.ศรีภูมิ
  • ต.ริม
  • ต.ตาลชุม
  • เทศบาลตำบลท่าวังผา

โครงการอ่างเก็บน้ำ "น้ำกิ" จังหวัดน่าน มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำและกรมชลประทานได้ออกแบบท่อส่งน้ำและอาคารโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไว้ด้วยแล้ว

ดังนั้น เพื่อประโยชน์สาธารณะและประชาชนโดยรอบ ที่ประชุมเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการร่วมกับกระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำหรือพลังแสงอาทิตย์ของโครงการด้วย โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดของโครงการเป็นสำคัญ