จีดีพี (GDP) - ภาคหนึ่ง

27 ต.ค. 2565 | 04:45 น.

บทความพิเศษโดย : สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

 

เรื่องข้างต้นตามที่จั่วหัวไว้สั้นๆ ขณะนี้คนไทยส่วนใหญ่ยกเว้นชาวบ้านรากหญ้าล้วนเข้าใจกัน แต่คนที่เข้าใจจริงๆ นั้นมีน้อยมาก ตัวผู้เขียนเองสมัยที่เพิ่งจบปริญญาใหม่ๆ จําต้องไปหารายได้พิเศษด้วยการไปเป็นอาจารย์พิเศษใช้เวลาวันหยุดหรือตอนเย็นนอกเวลาราชการไปสอนนักศึกษาที ่วิทยาลัย
หอการค้า ซึ่งตอนนี้เป็นมหาวิทยาลัยแล้ว ในวิชา “บัญชีรายได้ประชาชาติ” สอนอยู่ประมาณสองปีเศษ

 

ตอนสอนนักศึกษาใหม่ๆ ก็รู้แต่ทฤษฎีทั่วๆไป ไม่มากกว่าคนที่จบปริญญาตรีใหม่ๆสักเท่าไหร ่ เช่น รู้ว่าคําว่า GDP นี้หมายถึง รายได้ประชาชาติมวลรวมในประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ประเทศยังมีรายได้ประชาชาติมวลรวมทั้งหมดของคนไทยทั้งในและนอกประเทศอีกด้วย เรียกว่า GNP (Gross National Product) หรือรู้ว่ารายได้ประชาชาติมวลรวมในประเทศ (GDP) จะเท่ากับการนํารายจ่ายของคนในชาติ บวกกับรายจ่ายในการลงทุนของทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐบาล บวกกับรายได้จากการส่งออกของสินค้าและบริการ (รวมรายได้จากการท่องเที่ยว) หักด้วยรายจ่ายในการนําเข้าของสินค้าและบริการ เป็นต้น

 

อย่าเพิ่งเบื่อว่าผมจะมาสอนวิชานี้ให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายนะครับ แต่วันนี้ผมกําลังจะมาวิเคราะห์ให้ท่านผู้อ่านได้รู้ว่า เมื่อนักการเมืองไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของ GDP คํานี้แล้วเอาแต่พูดเรื่องการเติบโตหรือการขยายตัวของ GDP แล้วเฝ้าแต่พรํ่าเพ้อคําว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ไปเรื่อยๆ มีแต่จะนําประชาชนและประเทศชาติไปสู่หายนะได้นะครับ

 

นักการเมืองอาชีพ นอกจากจะต้องรู้ความหมายของ GDP ให้ถูกต้องแล้ว ยังต้องรู้ว่ารัฐบาลจะต้องดูแลและบริหารจัดการประเทศอย่างไร จึงจะทําให้ GDP เติบโตอย่างมั่งคั่งและยั่งยืน ขอยกตัวอย่างการบริหารที่เป็นไปในทางที่ก่อผลด้านลบต่อ GDP นั้นมีมากมาย ที่สําคัญมีดังนี้
 

 

ประการแรก คือ บริหารประเทศโดยปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากจนติดอันดับที่เกิน 100 ติดต่อกันหลายปีของไทย ดูเหมือนรัฐบาลไทยจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อน ซึ่งเรื่องนี้มีส่วนในการถ่วงการขยายตัวของ GDP มาก การปราบคอร์รัปชั่นนี้เป็นนโยบายด้านบริหารที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ของจีน
ให้ความสําคัญสูงสูด เน้นทําทุกวิถีทางให้เหลือน้อยที่สุดในประเทศจีน ส่วนไทยผู้นําได้แต่พูด แต่ทําไม่เป็น

 

ประการที่สอง คือ นโยบายการจัดมาตรการต่างๆมาดูแลให้เกิดการกระจายรายได้จากผู้มีรายได้สูงไปสู่ผู้มีรายได้น้อยทั้งประเทศ เรื่องนี้ต้องทําแบบมีผลให้กว้าง ไม่ใช่ทําแบบเงินบริจาค โดยการนํามาตรการด้านภาษีมาใช้เป็นหลัก ซึ่งจําเป็นอย่างยิ่งที ่ต้องทําอย่างจริงจังและต่อเนื่อง แต่ตรงกันข้าม
สําหรับประเทศไทย นักการเมืองกลับใช้แต่มาตรการลดภาษีเพื่อผลทางประชานิยม ก็ยิ่งทําให้ประเทศต้องตกอยู่ในภาวะการคลังถอยหลังเข้าคลองมาตลอด ตรงกันข้ามกับรัฐบาลของญี่ปุ่นและจีนที่ได้พยายามนํามาตรการภาษีมาใช้เพื่อการกระจายรายได้อย่างต่อเนื่อง เพราะหากปล่อยให้ผู้มีรายได้สูงสบายกันมากไป อย่าคิดว่าเขาจะเป็นผู้ลงทุนสร้างรายได้ให้ประเทศมากแต่อย่างเดียว ในด้านลบคนที่รํ่ารวยมักจะเอาเปรียบสังคมและใช้จ่ายเงินไปในการบริโภคแต่สินค้านําเข้าที่ฟุ่มเฟือย ทําให้GDP ถดถอย ได้มาก ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้คนไทยมีมาก ต่างกับคนญี่ปุ่นที่เขานิยมบริโภคแต่สินค้า ไม่ว่าถูกหรือแพงแต่ต้องผลิตโดยญี่ปุ่นเท่านั้น

 

 

 


 

ประการที่สาม เป็นเรื่องหนึ่งที่คนไทยไม่ได้รับการดูแลหรือให้ความสําคัญจากรัฐบาลของเรา คือการเน้นยกระดับการศึกษาของไทยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ สิ่งที่ทํามักถูกอ้างว่าทํามากแล้ว ภายใต้งบประมาณที่จํากัด แต่จริงๆแล้ว กล่าวได้ว่ารัฐบาลของเราปล่อยปละละเลยทิ้งให้คนไทยจมปลักอยู่กับความจนอย่างต่อเนื่อง แล้วยังปล่อยให้ทับถมด้วยการศึกษาที่มาตรฐานตํ่ากว่าชาติอื่นในระดับเดียวกัน ซึ่งการปล่อยปละละเลยในเรื่องการให้การศึกษาแก่เยาวชนในภาวะที่ประชากรสูงวัยกําลังเพิ่มเป็นสัดส่วนที่ใหญ่มากของประเทศ เช่นนี้นึกไม่ออกว่าประเทศไทยในอนาคต GDP จะเติบโตสูงเหมือนประเทศอื่นได้อย่างไร

 

ถ้าจะพูดว่าแค่สามเรื่องที่ได้กล่าวมานี้เป็นตัวถ่วงที่หนักมากที่จะทําให้GDP ของไทยโตไม่ขึ้น หรือโตได้แต่ตามเพื่อนไม่มีทางทัน อย่างดีก็แค่ 3% ต่อปีแต่ถ้านําเอาเรื่องด้านสังคมที่เละเทะเกลื่อนเมืองในขณะนี้เช่น เรื่องยาเสพติดที่ดูเหมือนว่าผู้มีหน้าที่ปราบปรามจะเปลี่ยนอาชีพเป็นผู้ค้าเสียเอง เรื่องการจี้
ปล้น ฆ่าแกงกันที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ก็ไม่รู้จะหาคําใดมาสาธยายถึงความเป็นประเทศไทยที่มั่นคงได้อีกแล้ว

 

ประการที่สี่สุดท้าย คือ การบริหารประเทศด้านการคลังแบบอนุรักษ์นิยมจนตามโลกาภิวัตน์ด้านนี้ไม่ทัน คือเป็นแบบโบราณทั้งด้านการจัดระบบภาษีเพื่อหารายได้เข้ารัฐอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเพียงครั้งเดียวในสมัยประมาณ 30 ปีที่แล้ว ที่มีการนําภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้ในสมัย
รัฐบาลท่านนายกอานันท์ปันยารชุน แต่หลังจากนั้นมีบ้างเฉพาะการปรับเล็กๆน้อยๆ แต่ก็มีหลายรัฐบาลช่วงหลังพยายามปรับลดอัตราภาษีโดยเอาใจผู้เสียภาษีให้มากขึ้น เพื่อให้เอกชนและธุรกิจมีอัตราใกล้เคียงกับเพื่อนบ้าน แต่เป็นการกระทําที่น่าเป็นห่วง คือ เป็นการปรับลดภาษีหลายๆแบบเป็นระยะๆ เพื่อปูทางหาคะแนนนิยมทางการเมือง ตัวนี้แหละที่ทําให้ระบบภาษีของไทยบิดเบี้ยวและขาดประสิทธิผลแบบต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้

 

ในช่วงที่เศรษฐกิจร่อแร่อันเนื่องมาจากสงครามการค้าในปี2562 แล้วมาต่อด้วยการระบาดของโควิด-19 เป็นเวลา 3 ปีจนถึงปี 2565 นี้ได้มีนักการเมืองที่คิดว่าตนเองเก่งกาจด้านเศรษฐกิจมหภาคได้พยายามหามาตรการกระตุ้นการบริโภคเพื่อให้คงอัตราเพิ ่มของ GDP ให้เป็นบวกไว้ก่อน จนถึงกับรัฐบาลต้องกู้เงินเป็นพิเศษด้วยการออกเป็นพระราชกําหนดถึง 2 ครั้ง ได้เม็ดเงินมา 1.5 ล้านล้านบาทที่ได้หว่านลงไปเพื่อเพิ่มการบริโภคภาคประชาชนพร้อมๆกับการเพิ่มหนี้สาธารณะแบบไร้ฐานรายได้มารองรับในภาครัฐ ซึ่งก็ไม่ว่ากันเพราะมีเรื่องการระบาดของโควิด-19 เป็นเหตุที่ถือได้ว่าเพื่อรักษาไม่ให้
รัฐบาลติดหล่มหนัก แต่อย่าได้คิดว่านี่เป็นวิธีที่ถูกต้องที่จะนํามาใช้ต่อไปอีกได้

 

ในช่วงต่อจากนี้ซึ่งเป็นช่วงที่ถือว่ารัฐบาลสามารถเอาอยู่กับโควิด-19 แล้ว เพราะประเทศเราถูกรัฐบาลเปิดประเทศแล้ว และเป็นช่วงที่ความอดทนของประชาชนคนไทยกําลังจะหมดไปกับรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยครึ่งใบที่ใกล้จะม้วนเสื่อแล้วด้วย จึงไม่สามารถที่จะหาเงินก้อนใหญ่มาแจกอย่าง
เมื่อก่อนได้อีกแล้ว

 

คำถามจึงมีว่ารัฐบาลใหม่ที่แต่ละค่ายก็เก่งพอและรู้เรื่องดีว่า การบีบรัดด้านการเงินการคลังจะไม่เปิดช่องว่างให้หาเงินมาอัดเพิ่มการบริโภคให้ GDP ขยายตัวดูดีได้อีกนั้น จะต้องเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศอย่างแน่นอน เท่าที่ได้ยินได้ฟังการหาเสียงของพรรคการเมืองทั้งเล็กและใหญ่ในตอนนี้มี แค่ความฝันว่าจะทำได้ แต่ยังฟังไม่ได้ศัพท์ว่าพรรคใดจะเข้ามาแก้ปัญหานี้ให้เจ๋งได้อย่างไร


ไว้ค่อยเจอกันใน GDP-ภาคสอง ผมจะพยายามไขปัญหานี้ให้ฟังนะครับ