DELTA ไม่ต้องรีบตามก็ได้

02 ส.ค. 2565 | 18:30 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** ใจเย็นๆ เห็นราคาบิทคอยน์ขยับก็อย่าพึ่งไล่ตามราคาหุ้นเหมืองขุดบิทคอยน์ เพราะไม่ว่าจะเป็น JTS ZIGA UPA AJA หรือ ECF รวมถึงหุ้นตัวใดก็ตามที่ประกาศตัวว่า กำลังจะทำธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ต่างก็ยังไม่มีกำไรจากธุรกิจนี้อย่างเป็นรูปธรรมเลยแม้แต่บริษัทเดียว โดยเฉพาะราคาที่เคลื่อนตัวอยู่ในกรอบต่ำเพียงแค่ 20,000-23,000 ดอลลาร์ ยิ่งทำให้เหมืองขุดบิทคอยน์เปลี่ยนเป็นธุรกิจที่ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน นี่ไม่ต้องนับเอาเครื่องขุดที่มีราคาสูง...เอาแค่ค่าเสื่อมราคาของเครื่องขุด ค่าเช่าอาคารสถานที่ ค่าไฟฟ้าและค่าบำรุงรักษา ก็มากกว่ามูลค่าของเหรียญบิทคอยน์ที่ขุดได้ในแต่ละเดือน 
 

ดังนั้นถ้าใครสนใจหุ้นเหมืองขุดบิทคอยน์ เจ๊เมาธ์แนะนำอาจจะต้องมองไปที่เรื่องของการเล่นเก็งกำไรเป็นหลักไปก่อนนะคะ แม่ว่าบางบริษัทในกลุ่มนี้อาจจะพอมีกำไรจากผลการดำเนินงานปกติอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม คำว่า “หุ้นขาขึ้น” ในตอนนี้ยังไม่มีชื่อของหุ้นในกลุ่มเหมืองขุดบิทคอยน์รวมอยู่ด้วยเลยเจ้าค่ะ

*** ไม่รู้เป็นเพราะว่า BAM มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของทางภาครัฐมากไปหรือเปล่า ที่ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทยังไม่ขยับไปไหน เพราะเมื่อมองไปถึงบริษัทที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกันอย่าง JMT หรือแม้แต่บริษัทที่เล็กกว่าอย่าง CHAYO ก็จะพบว่า อัตราส่วนในการทำกำไรของบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานภาครัฐเหล่านี้ ต่างสามารถทำกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ ทั้งที่อยู่ในสภาวะทางการตลาดที่ไม่ต่างกัน ซึ่งเมื่อผลการดำเนินงานไม่ดีขึ้นก็หมายความว่า โอกาสที่ราคาหุ้นจะขยับตัวตามไปด้วยเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นถ้าหาก BAM ยังคงทำธุรกิจแบบไม่หวังผลกำไรแบบนี้ต่อไป...ความคาดหวังที่เคยมองว่า BAM คือหนึ่งในหุ้นห่านทองคำก็อาจจะต้องเปลี่ยนไปแล้วนะคะ แต่ถ้าใครยังชอบธุรกิจแบบนี้ก็คงต้องกลับไปหา JMT หรือ CHAYO น่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ

*** เห็นผลการดำเนินงานแล้วก็ต้องยอมรับเลยว่า DELTA ไม่ธรรมดาจริงๆ อย่างหนึ่งคือ ธุรกิจที่ทำไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับ Data Center, Server & Cloud Storage หรือสินค้าที่เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Power) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบอัตโนมัติสำหรับภาคอุตสาหกรรม ต่างก็เป็นกลุ่มสินค้าที่กำลังอยู่ในกระแสและกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด 

 

แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้กำไรของ DELTA โตแรงขึ้นมาก็เป็นเพราะค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง จนทำให้บริษัทฯ ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ปัญหาของ DELTA คือเรื่องกำลังการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า ไปจนกว่าโรงงานแห่งใหม่ที่บางปูจะสร้างเสร็จในปี 2566 โน้นเลย หมายความว่าการการสร้างกำไรของ DELTA จะยังคงเกาะกระแสของเงินบาทอ่อนค่าต่อไป โดยที่ไม่สามารถพึ่งพาการเพิ่มกำไรและรายได้จากกการผลิตสินค้าเพิ่มเติมนั่นเอง ดังนั้น ถ้าใครที่จะเกาะกระแสความเป็นหุ้นขาขึ้นที่มีกำไรดีของ DELTA ก็ต้องพิจารณาจุดนี้ด้วยนะคะ ของแบบนี้ไม่แน่ว่าจะขึ้นตลอดไปเจ้าค่ะ 


*** ในกระบวณการของหุ้นโรงไฟฟ้าใหญ่ที่เกาะกระแสขาขึ้นของค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่าเอฟที (Ft) อย่าง GULF BGRIM และ GPSC ดูเหมือนว่าในส่วนของ BGRIM และ GPSC จะน่าสนใจมากว่าทางด้านของ GULF อยู่พอสมควร เนื่องจากราคาหุ้นของทั้ง BGRIM และ GPSC ต่างก็ปรับราคาลงมามากตามต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่ในทางกลับกันราคาหุ้นของ GULF แทบจะไม่ปรับลงมาเลย ดังนั้นราคาหุ้นของทั้ง BGRIM และ GPSC จึงมีโอกาสขยับราคาขึ้นได้มากกว่านั่นเอง ดังนั้น ถ้าชอบลุ้นหรือเล่นรอบก็น่าจะเป็นทาง BGRIM และ GPSC แต่ถ้าชอบนิ่งและไม่หวือหวา รวมถึงเงินเย็น และรอจังหวะได้ ก็น่าจะต้องมองไปทาง GULF นั่นเองเจ้าค่ะ


*** หุ้นใหญ่ที่พึ่งจะเข้าตลาดฯ อย่าง บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาบ้างในการปรับราคาขึ้นไปหาราคาจองซื้อ (IPO) อย่างแรกคือ ตัวธุรกิจของ TLI เป็นธุรกิจที่นักลงทุนชาวไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยที่จะชอบ เพราะว่าไม่ค่อยมีอะไรให้ลุ้น ส่วนอย่างที่สองเป็นเรื่องของการที่บริษัทฯ มีการกระจายหุ้นเป็นจำนวนมาก และนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนใน TLI ต่างก็ติดดอยอยู่แทบทุกคน ทำให้ทันทีที่ราคาหุ้นขยับขึ้นก็จะมีแรงขายเทสวนออกมาตลอด อย่างสุดท้ายคือ จุดอ่อนเรื่องของการประชาสัมพันธ์ไปหานักลงทุนในแบบที่ไม่ตรงจุด คือ มุ่งเน้นไปว่าบริษัทมีงานโฆษณาดราม่าแบบนั้นแบบนี้ แทนที่จะเน้นการสร้างความเข้าใจในโครงสร้างของธุรกิจของบริษัท ซึ่งทำให้ภาพของ TLI กลับกลายเป็นอ่อนด้อยและเข้าใจยากนั้นเอง อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวถือว่า TLI เป็นหนึ่งในหุ้นที่น่าสนใจพอสมควร แต่ความน่าสนใจที่ว่านี้อาจจะต้องแลกมาด้วยราคาหุ้นต่ำลงไปอีก เพื่อสร้างความดึงดูดใจมากกว่านี้ด้วยเช่นกันนั้นเอง


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,806 วันที่ 4 - 6 สิงหาคม พ.ศ. 2565