“ปณิชา ดาว” เศรษฐีหุ้นไทยอันดับสอง เธอคือใคร..??

08 ธ.ค. 2565 | 21:15 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

***  ไม่มีใครแปลกใจที่เสี่ยกลาง “สารัชถ์ รัตนาวะดี” จะครองตำแหน่งเบอร์หนึ่งของเศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2565 แต่สิ่งที่ทุกคนแปลกใจคือ ตำแหน่งเศรษฐีหุ้นไทยอันดับสองที่ชื่อว่า “ปณิชา ดาว” เธอคนนี้เป็นใครและรวยมาจากอะไร ซึ่งเมื่อค้นหาข้อมูลก็จะพบว่า “ปณิชา ดาว” คือ ภรรยาของ “เดวิด แวน ดาว” โดย ปณิชา เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 1 ของ บมจ.พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น (PSG) ในสัดส่วน 80% จำนวน 51,994 ล้านหุ้น รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครองในเวลาที่จัดอันดับคิดเป็นเงิน 81,630 ล้านบาท 
 

ขณะที่ เดวิด แวน ดาว ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บริษัท พีที จำกัด ผู้เดียว (PTS) ที่ถือหุ้นใน บริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัด ผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง ที่ สปป.ลาว โดยที่ PSG ซึ่งเดิมชื่อ บมจ.ที เอ็น จิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น หรือ T ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงงานสาธารณูปโภค และงานติดตั้งเครื่องจักรต่างๆ มากว่า 40 ปี 
 

โดยในปี 2564 บริษัทได้ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 54,044 ล้านหุ้น ขายนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ซึ่งชื่อของคนที่เป็นเจ้าของหุ้นจำนวนนี้ก็คือ “ปณิชา ดาว” คนนี้นี่เอง นี่แค่ ปณิชา ดาว โดยไม่นับรวมเอาสินทรัพย์ของ เดวิด แวน ดาว เข้ามายังรวยได้ขนาดนี้ แล้วถ้าทั้งสองคนรวมกันแล้วจะรวยได้ขนาดไหนกันนะ
 

*** หลังจากที่มาตรการควบคุมราคาน้ำมันดิบของรัสเซีย ซึ่งสหรัฐอเมริกา นาโต้ และ กลุ่ม G7 รวมตัวกันกำหนดขึ้นมีผลบังคับใช้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับราคาตามลงมา กรณีนี้ส่งผลกระทบกับหุ้นพลังงานและโรงกลั่นน้ำมันโดยตรง โดยในส่วนกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันอย่าง TOP IRPC BCP SPRC ESSO และโรงกลั่นอื่น กลับได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน อย่างแรกคือ ค่าการกลั่นที่ปรับลงมา จนทำให้หุ้นโรงกลั่นเหล่านี้รายได้ลดลง 
 

แต่ปัญหาสำคัญที่สุดของโรงกลั่นเหล่านี้ กลับเป็นปัญหาในเรื่องการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบ ซึ่งเกิดจากราคาน้ำมันดิบที่ลงอย่างต่อเนื่องประมาณว่า ซื้อปุ๊บ...ขนส่งมายังไม่ถึงโรงกลั่นก็ขาดทุนไปแล้ว ตราบใดที่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังไม่จบ แนวโน้มของสินค้าพลังงานก็ยังจะทรงตัวอยู่ระดับราคาสูงเช่นนี้ต่อไป ไม่จบลงง่ายๆ เช่นเดียวกัน
 

*** ความกังวลในเรื่องของราคาน้ำมันดิบ ส่งผลไปถึงหุ้นที่ทำธุรกิจโดยตรงอย่าง PTTEP จนทำให้ราคาหุ้นที่เข้าไกลระดับราคา 200 บาทกลับไปได้ไม่ถึงจุดหมาย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงจะส่งผลให้รายได้จะน้อยลง แต่โดยภาพรวมถือว่ายังไม่ถือว่าส่งผลกระทบ เนื่องจากราคาสินค้าของบริษัทยังอยู่ในระดับราคาที่สูงมากอยู่ดี
 

ซึ่งกรณีผลกระทบเรื่องราคาน้ำมันดิบของ PTTEP ดูจะไม่ต่างไปจากกรณีของ BANPU ซึ่งมีถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเป็นธุรกิจหลัก อาจจะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเมื่อเทียบกับภาพรวม เนื่องจากทั้งถ่านหินและก๊าซธรรมชาติยังเป็นกลุ่มสินค้าพลังงานหลักที่ยังมีความต้องการสูง ดังนั้น เจ๊เมาธ์ จึงยังคงมุมมองที่ดีกับหุ้นทั้งสองตัวนี้ แต่ถ้าจะให้ดีก็หาจังหวะเข้าในช่วงที่ราคาปรับลงก็น่าจะดีกว่าซื้อเลยในทันทีเจ้าค่ะ
 

*** หุ้นน้องใหม่ที่พึ่งเข้าตลาดอย่าง MTW (บมจ.เมคทูวิน โฮลดิ้ง) กลายเป็นหุ้นตัวล่าสุดที่ถูกแก๊ง “ผีปลาดุก” ใช้เป็นเครื่องมือ “ตบทรัพย์” นักลงทุนรายย่อยอีกแล้ว กรณีนี้ไม่ต่างไปจากการเข้าตลาดของ 24CS และไม่ต่างไปจากการ Resume Trade ของ A5 
 

ทั้งนี้เนื่องจากในวันแรกของการซื้อขาย (First Trading Day) ราคาหุ้นจะถูกเปิดเสรีให้มีช่วงราคาที่เล่นได้กว้าง...จากราคาติดลบไปจนบวกได้ถึง 200% เล่นมาร์จินได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงจำนวนหุ้นที่รอคอยการซื้อขายที่ถูกสะสมมาตั้งแต่ก่อนเข้าตลาดฯ จะไม่ถูกขัดขวาง หมายความว่า เมื่อทุกอย่างมารวมอยู่ด้วยกัน ทำให้การลากราคาแล้วทุบในทุกราคาในวันแรกของการเข้าตลาดเพียงแค่วันเดียว จะสามารถดูดเงินสดเข้ามาได้มากกว่าการทุบหุ้นในวันปกติเป็นสิบเท่า ซึ่งกลุ่มที่มีชื่อเสียงและเชียวชาญในวิธีการนี้มากที่สุดก็คือแก๊ง “ผีปลาดุก” ที่เจ๊เมาธ์มักจะพูดถึงตลอดมา 
 

อย่างไรก็ตาม ลำพังแค่แก๊ง “ผีปลาดุก” คงจะทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับการยินยอมและไม่มีหุ้นตั้งต้นมาจากเจ้าของหุ้นตัวจริง ซึ่งนั้นก็ทำให้มองเห็นถึงหุ้นที่ผ่านมือแก๊ง “ผีปลาดุก” ได้เลยว่าจะมีอนาคตอย่างไร ของแบบนี้ไม่ต้องพูดก็รู้กันเจ้าค่ะ

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ  ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,843 วันที่ 11 - 14 ธันวาคม พ.ศ. 2565