สืบเนื่องจาก “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP 26)” ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ได้กล่าวถ้อยแถลงเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ยืนยันว่า
“ประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุดในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ในปี ค.ศ. 2065”
ไทยตั้งเป้าปลูกป่า 10 ปี 3 แสนไร่
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงได้จัดทำ “โครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต” โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินงาน 10 ปี (พ.ศ. 2565 - 2574) ตั้งเป้าหมายปลูกป่าให้ได้เนื้อที่ 300,000 ไร่ ในพื้นที่ 23 จังหวัด ที่สำคัญโครงการนี้ได้เปิดให้ “ภาคเอกชน” และชุมชนชายฝั่งเข้ามามีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER)
ส่วนพื้นที่ปลูกป่า ในเบื้องต้นได้ตั้งเป้าหมายดำเนินการปี พ.ศ. 2565 เนื้อที่ 44,712.99 ไร่ ใน 19 จังหวัด โดยผู้พัฒนาโครงการ (บุคคลภายนอก) จะได้รับการจัดสรรคาร์บอนเครดิตร้อยละ 90 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะได้ร้อยละ 10 และทางกรมฯ จะจัดสรรจำนวนกึ่งหนึ่งให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นที่ตั้งแปลงโครงการ
“DITTO” ผลิตคาร์บอนป้อนบ.ส่งออก
นายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “DITTO” เปิดเผยว่า บริษัท DITTO (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดย “บริษัท สยาม ทีซี เทคโนโลยี จำกัด” ได้ลงนามเข้าร่วมโครงการพื้นที่ปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต ประจำปี พ.ศ. 2565 จำนวน 11,448.30 ไร่ กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีระยะเวลาในการดูแลรักษาป่า 30 ปี โดยโครงการมีเงื่อนไขว่าผู้พัฒนาโครงการในที่นี้ คือ บ. สยาม ทีซีเทคโนโลยี จะได้รับการจัดสรรคาร์บอนเครดิตจากโครงการดังกล่าวในสัดส่วน ร้อยละ 90 และจัดสรรให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร้อยละ 10
สาเหตุที่ DITTO เลือกปลูกป่าชายเลน เนื่องจากมีข้อมูลทางวิชาการที่ได้จากผลการศึกษาพบว่าป่าชายเลนสามารถดูดซับคาร์บอนได้ 8 – 10 ตันต่อไร่ต่อปี ขณะเดียวกัน บริษัทเอกชนที่ส่งสินค้าออกไปยังตลาดยุโรปจะได้รับผลกระทบจากระเบียบ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ที่ทางยุโรปบังคับใช้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายจากการถูกเรียกเก็บภาษีการปล่อยคาร์บอน ถึงตอนนั้นเอกชนไทยจะต้องซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยในส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนเกิน
“สำหรับพื้นที่ ๆ ได้รับอนุมัตินั้น ถือเป็นการได้มาซึ่งสิทธิ์ในการปลูกป่าและดูแลรักษาป่าชายเลนให้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นพื้นที่ของชุมชน ทุกคนในชุมชนทุกคนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ สามารถเข้ามาทำเกษตรกรรม ทำประมงพื้นบ้าน จับสัตว์น้ำได้เหมือนเดิม ทางบริษัทมีหน้าที่ดูแลรักษาป่าชายเลนให้มีทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น ทำให้ระบบนิเวศสมบูรณ์ขึ้นเพื่อประโยชน์ของชุมชนต่อไป” นายฐกร กล่าว
บัวหลวง ฟันธงอนาคตไปได้สวย
ด้านบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินว่าหาก DITTO เริ่มดำเนินโครงการในปี พ.ศ. 2566 จะใช้เวลา 3 ปีที่จะเริ่มรับรู้คาร์บอนเครดิตในปี พ.ศ. 2569 โดยคาดเงินลงทุนเริ่มต้นในปีแรกจะอยู่ที่ราว 160 – 170 ล้านบาท และค่าดูแลรักษาตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไปจะอยู่ที่ 30 ล้านบาท/ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2569 คาดว่า DITTO จะได้รับคาร์บอนเครดิตราว 1 แสนตัน/ปี (สัดส่วน 90%)
อย่างไรก็ตาม ราคาคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยยังไม่ได้มีการซื้อขายที่แพร่หลายมากนัก แต่หากอิงจากตลาดในต่างประเทศอย่างยุโรปราคาตอนนี้อยู่ที่ราว 70 ยูโร หรือ 2,600 บาท ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องจากปี พ.ศ. 2563 ที่อยู่ระดับ 15 – 20 ยูโร และเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 100 ยูโรในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา หากประเมินจากราคาที่ 70 ยูโร จะสามารถสร้างกำไรในปี พ.ศ. 2569 ได้ราว 230 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมต้นทุนทั้งหมดที่ลงทุนไปใน 3 ปีแรก และจะสร้างกำไรอย่างต่อเนื่องไปอีก 26 ปีที่เหลือ
หลักทรัพย์บัวหลวงประเมินอีกว่า ปัจจุบันกำไรของ DITTO อยู่ที่ราว 300 – 400 ล้านบาท/ปี นั่นหมายความว่ากำไรจากธุรกิจคาร์บอนเครดิตจะสร้างกำไรส่วนเพิ่มได้มากกว่า 50% ต่อปีให้กับ DITTO ถึงแม้ว่าราคา Carbon credit ในตลาดไทยกับต่างประเทศยังต่างกันมาก แต่เมื่อกฏหมายต่าง ๆ มีผลบังคับใช้มากขึ้น (สรรพสามิตรกำลังศึกษาการเก็บภาษีคาร์บอนเครดิตในประเทศ) ราคาที่แตกต่างกันของคู่ค้าจะวิ่งเข้าหาจุดสมดุล (เสียภาษีที่ไทยน้อยก็ต้องไปเสียอีกต่อที่ต่างประเทศอยู่ดี ถ้าอัตราภาษีที่จะเก็บต่างกัน)
นอกจากนี้ยังมองว่าหลังจากที่มาตรการผลักดันด้านสิ่งแวดล้อมของต่างประเทศถูกนำมาบังคับใช้มากขึ้น เช่น CBAM จากยุโรปที่จะเริ่มใช้ 1 มกราคม พ.ศ. 2569 (การบังคับใช้ภาษีคาร์บอนกับประเทศคู่ค้าสำหรับการส่งออก/นำเข้า) จะยิ่งทำให้ Demand ของ Carbon credit ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ (Supply ด้านสิ่งแวดล้อมจำกัด) ท้ายที่สุดราคาของ Carbon credit น่าจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกัน โดยราคาที่เพิ่มขึ้นจะวิ่งลงสู่กำไรของ DITTO ทันทีเนื่องจากต้นทุนทั้งหมดเป็นต้นทุนคงที่
บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงมองว่าพัฒนาการที่เกิดขึ้นถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจใหม่ของ DITTO โอกาสที่จะเพิ่มกำไรในอนาคตมีมากถึง 50% ต่อปี และยังเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นประจำอย่างต่อเนื่องตลอด 30 ปี
ที่ผ่านมา DITTO เน้นการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน (Sustainable Business) ที่มีความรับผิดชอบและแสวงหาผลตอบแทนที่ไม่ใช่อยู่ในรูปของผลกำไรเพียงอย่างเดียว โดยยึดหลัก “ESG” เป็นกรอบการพัฒนาที่ใช้ขับเคลื่อนการดำเนินงานที่คำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตก็เป็นอีกโครงการหนึ่งที่ DITTO ได้ทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มความสามารถ