“DITTO” ชูธง “กรีนเทคฯ” สู้โลกร้อน

01 ต.ค. 2565 | 04:20 น.

“DITTO” ชูธง “กรีนเทคฯ” สู้โลกร้อน ลุยปลูกป่า “คาร์บอนเครดิต” กว่าหมื่นไร่

สืบเนื่องจาก “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP 26)” ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ได้กล่าวถ้อยแถลงเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ยืนยันว่า
 

“ประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุดในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ในปี ค.ศ. 2065”

“DITTO” ชูธง “กรีนเทคฯ” สู้โลกร้อน

“DITTO” ชูธง “กรีนเทคฯ” สู้โลกร้อน

ไทยตั้งเป้าปลูกป่า 10 ปี 3 แสนไร่          
        

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงได้จัดทำ “โครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต” โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินงาน 10 ปี (พ.ศ. 2565 - 2574) ตั้งเป้าหมายปลูกป่าให้ได้เนื้อที่ 300,000 ไร่ ในพื้นที่ 23 จังหวัด ที่สำคัญโครงการนี้ได้เปิดให้ “ภาคเอกชน” และชุมชนชายฝั่งเข้ามามีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER)
 

ส่วนพื้นที่ปลูกป่า ในเบื้องต้นได้ตั้งเป้าหมายดำเนินการปี พ.ศ. 2565 เนื้อที่ 44,712.99 ไร่ ใน 19 จังหวัด โดยผู้พัฒนาโครงการ (บุคคลภายนอก) จะได้รับการจัดสรรคาร์บอนเครดิตร้อยละ 90 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะได้ร้อยละ 10 และทางกรมฯ จะจัดสรรจำนวนกึ่งหนึ่งให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นที่ตั้งแปลงโครงการ

“DITTO” ชูธง “กรีนเทคฯ” สู้โลกร้อน

“DITTO” ชูธง “กรีนเทคฯ” สู้โลกร้อน

“DITTO” ชูธง “กรีนเทคฯ” สู้โลกร้อน

“DITTO” ผลิตคาร์บอนป้อนบ.ส่งออก

นายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “DITTO” เปิดเผยว่า บริษัท DITTO  (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดย “บริษัท สยาม ทีซี เทคโนโลยี จำกัด” ได้ลงนามเข้าร่วมโครงการพื้นที่ปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต ประจำปี พ.ศ. 2565 จำนวน 11,448.30 ไร่ กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีระยะเวลาในการดูแลรักษาป่า 30 ปี โดยโครงการมีเงื่อนไขว่าผู้พัฒนาโครงการในที่นี้ คือ  บ. สยาม ทีซีเทคโนโลยี จะได้รับการจัดสรรคาร์บอนเครดิตจากโครงการดังกล่าวในสัดส่วน ร้อยละ 90 และจัดสรรให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร้อยละ 10
 

สาเหตุที่ DITTO เลือกปลูกป่าชายเลน เนื่องจากมีข้อมูลทางวิชาการที่ได้จากผลการศึกษาพบว่าป่าชายเลนสามารถดูดซับคาร์บอนได้ 8 – 10 ตันต่อไร่ต่อปี ขณะเดียวกัน บริษัทเอกชนที่ส่งสินค้าออกไปยังตลาดยุโรปจะได้รับผลกระทบจากระเบียบ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ที่ทางยุโรปบังคับใช้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายจากการถูกเรียกเก็บภาษีการปล่อยคาร์บอน ถึงตอนนั้นเอกชนไทยจะต้องซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยในส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนเกิน
 

“สำหรับพื้นที่ ๆ ได้รับอนุมัตินั้น ถือเป็นการได้มาซึ่งสิทธิ์ในการปลูกป่าและดูแลรักษาป่าชายเลนให้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นพื้นที่ของชุมชน ทุกคนในชุมชนทุกคนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ สามารถเข้ามาทำเกษตรกรรม ทำประมงพื้นบ้าน จับสัตว์น้ำได้เหมือนเดิม ทางบริษัทมีหน้าที่ดูแลรักษาป่าชายเลนให้มีทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น ทำให้ระบบนิเวศสมบูรณ์ขึ้นเพื่อประโยชน์ของชุมชนต่อไป” นายฐกร กล่าว
 

บัวหลวง ฟันธงอนาคตไปได้สวย
 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินว่าหาก DITTO เริ่มดำเนินโครงการในปี พ.ศ. 2566 จะใช้เวลา 3 ปีที่จะเริ่มรับรู้คาร์บอนเครดิตในปี พ.ศ. 2569 โดยคาดเงินลงทุนเริ่มต้นในปีแรกจะอยู่ที่ราว 160 – 170 ล้านบาท และค่าดูแลรักษาตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไปจะอยู่ที่ 30 ล้านบาท/ปี  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2569 คาดว่า DITTO จะได้รับคาร์บอนเครดิตราว 1 แสนตัน/ปี (สัดส่วน 90%)
 

อย่างไรก็ตาม ราคาคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยยังไม่ได้มีการซื้อขายที่แพร่หลายมากนัก แต่หากอิงจากตลาดในต่างประเทศอย่างยุโรปราคาตอนนี้อยู่ที่ราว 70 ยูโร หรือ 2,600 บาท ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องจากปี พ.ศ. 2563 ที่อยู่ระดับ 15 – 20 ยูโร และเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 100 ยูโรในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา หากประเมินจากราคาที่ 70 ยูโร จะสามารถสร้างกำไรในปี พ.ศ. 2569 ได้ราว 230 ล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมต้นทุนทั้งหมดที่ลงทุนไปใน 3 ปีแรก และจะสร้างกำไรอย่างต่อเนื่องไปอีก 26 ปีที่เหลือ
 

หลักทรัพย์บัวหลวงประเมินอีกว่า ปัจจุบันกำไรของ DITTO อยู่ที่ราว 300 – 400 ล้านบาท/ปี นั่นหมายความว่ากำไรจากธุรกิจคาร์บอนเครดิตจะสร้างกำไรส่วนเพิ่มได้มากกว่า 50% ต่อปีให้กับ DITTO ถึงแม้ว่าราคา Carbon credit ในตลาดไทยกับต่างประเทศยังต่างกันมาก แต่เมื่อกฏหมายต่าง ๆ มีผลบังคับใช้มากขึ้น (สรรพสามิตรกำลังศึกษาการเก็บภาษีคาร์บอนเครดิตในประเทศ) ราคาที่แตกต่างกันของคู่ค้าจะวิ่งเข้าหาจุดสมดุล (เสียภาษีที่ไทยน้อยก็ต้องไปเสียอีกต่อที่ต่างประเทศอยู่ดี ถ้าอัตราภาษีที่จะเก็บต่างกัน)
 

นอกจากนี้ยังมองว่าหลังจากที่มาตรการผลักดันด้านสิ่งแวดล้อมของต่างประเทศถูกนำมาบังคับใช้มากขึ้น เช่น CBAM จากยุโรปที่จะเริ่มใช้ 1 มกราคม พ.ศ. 2569 (การบังคับใช้ภาษีคาร์บอนกับประเทศคู่ค้าสำหรับการส่งออก/นำเข้า) จะยิ่งทำให้ Demand ของ Carbon credit ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ (Supply ด้านสิ่งแวดล้อมจำกัด) ท้ายที่สุดราคาของ Carbon credit น่าจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกัน โดยราคาที่เพิ่มขึ้นจะวิ่งลงสู่กำไรของ DITTO ทันทีเนื่องจากต้นทุนทั้งหมดเป็นต้นทุนคงที่
 

บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงมองว่าพัฒนาการที่เกิดขึ้นถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจใหม่ของ DITTO โอกาสที่จะเพิ่มกำไรในอนาคตมีมากถึง 50% ต่อปี และยังเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นประจำอย่างต่อเนื่องตลอด 30 ปี
 

ที่ผ่านมา DITTO เน้นการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน (Sustainable Business) ที่มีความรับผิดชอบและแสวงหาผลตอบแทนที่ไม่ใช่อยู่ในรูปของผลกำไรเพียงอย่างเดียว โดยยึดหลัก “ESG” เป็นกรอบการพัฒนาที่ใช้ขับเคลื่อนการดำเนินงานที่คำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตก็เป็นอีกโครงการหนึ่งที่ DITTO ได้ทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มความสามารถ