อภัยภูเบศรจัดเต็มภูมิปัญญาไทยรับมือโลกร้อนงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2567

29 มี.ค. 2567 | 07:22 น.

“อภัยภูเบศร”จัดเต็มภูมิปัญญาไทยรับมือโลกร้อนในงาน“เทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2567” พร้อมส่งผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำสมุนไพรลดโรคที่มากับความร้อน และแจกสูตรเมนูอาหารคลายร้อนเพียบ พลาดไม่ได้วันนี้-1 เม.ย.67 ที่ศูนย์สิริกิติ์

ในระหว่างวันที่ 28 มี.ค.- 1 เม.ย. 2567 มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ร่วมจัดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2567 ครั้งที่ 42 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อเตรียมวางแผนท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เทศกาลแห่งความสุข และเป็นปีแรกที่จะได้เฉลิมฉลองในโอกาสที่ยูเนสโกขึ้นทะเบียน “สงกรานต์” เป็นมรดกโลก

                     ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า ปีนี้มูลนิธิ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร อยู่ในโซนภาคตะวันออก โดยได้จัดกิจกรรมภายในพิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน เกาะสีชัง ที่ได้ถูกออกแบบไว้อย่างสวยงาม เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชม ถ่ายภาพ และร่วมกิจกรรมที่เน้นไฮไลท์สมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย มีไว้เพื่อรับมือกับโลกร้อน ประกอบด้วย เมนูอาหารที่ให้ร่างกายชุ่มชื้น อาหารต้านอนุมูลอิสระ เมนูอาหารจากดอกไม้ รวมไปถึง หัตถการดูแลสุขภาพในช่วงอากาศร้อน  

ดร.สุภาภรณ์ กล่าวอีกว่า โรคที่น่ากังวลในช่วงฤดูร้อนคือ “ลมแดด” หรือ “Heatstroke” ที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก จากสถิติกรมการแพทย์พบ 7 ปี มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว 234 คน หรือปีละ 33 คน มากกว่านั้นคือ การสะสมความร้อนในร่างกายที่มากเกินไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดภาวะการอักเสบเรื้อรังในร่างกายและส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยในอนาคตได้ 

ดังนั้น การป้องกันด้วยการนำองค์ความรู้ดั้งเดิม กินอยู่อย่างไทย มาใช้ร่วมกับผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นทางรอดต่อการดำรงชีวิตในภาวะที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ  และจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ เด็ก ผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรง ผู้พิการ นักกีฬา หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ คนไร้บ้าน ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง 

เลขาธิการมูลนิธิรพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวถึงการป้องกันและจัดการผลกระทบต่อสุขภาพจากความร้อน ตามภูมิปัญญาดั้งเดิม ว่า ความร้อนที่สะสมในร่างกาย ทำให้เกิดการสูญเสียระบายความร้อน ส่งผลให้ไฟกำเริบ กระทบต่อ จิตใจ ทำให้เกิดอารมณ์ฉุนเฉียว นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูงขึ้น กระทบต่อกลไกการควบคุมความร้อนของตับเสียสมดุล อาจมีอาการร้อนในได้ง่ายขึ้น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ 

                 อภัยภูเบศรจัดเต็มภูมิปัญญาไทยรับมือโลกร้อนงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2567

นอกจากนี้ ยังกระทบต่อสมอง ทำให้เกิดอาการปวดหัวหน้ามืดวิงเวียน สมุนไพรที่จะนำมาส่งเสริมกลไกขับความร้อนของร่างกายให้ทำงานได้ปกติได้แก่ ยาหอมเทพจิตร ดื่มน้ำลอยมะลิ น้ำใบบัวบก น้ำย่านาง น้ำมะพร้าว น้ำตรีผลา ลดอารมณ์ฉุนเฉียว รับประทานอาหารรสขม ยาเขียวหอมในช่วง 10.00 น. หรือ 14.00 น.

หลีกเลี่ยงของมันของทอดเพื่อควบคุมความร้อนในตับ และใช้ยาหอมทิพโอสถ กินอาหารที่มีฤทธิ์เย็น พอกยา พอกหน้า ใช้แป้งเย็น สระยาเย็น ยาอาบ ยาแช่ เพื่อลดอาการปวดหัว หน้ามืด และ วิงเวียน 

                       อภัยภูเบศรจัดเต็มภูมิปัญญาไทยรับมือโลกร้อนงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2567

นอกจากนี้ ยังใช้อาหารเป็นตัวช่วย ซึ่ง ดร.สุภาภรณ์ ได้ให้หลักในการนำสมุนไพรในการมาดูแลตัวเอง ในช่วงที่มีอากาศร้อนว่า อาบน้ำ เช็ดตัว หรือใช้แป้งร่ำ หรือ พ่นด้วยสเปรย์รางจืด กินตำรับตรีผลา กินอาหารรสเย็น เช่น รางจืด ฟักแฟง แตงโมแตงกวา น้ำเต้า หรือใช้เมนูอาหาร ยำดอกแค ซุปฟักข้าว ข้าวแช่น้ำลอยดอกมะลิ เป็นต้น

กินอาหารที่ทำให้ร่างกายชุ่มชื่น เช่น กระเจี๊ยบแดง แตงโม ฟักแฟง ส่วนเมนูที่แนะนำคือ แตงโมหน้าปลาแห้ง สมูทตี้ดับกระหายคลายร้อน ต้มฟักใส่ไก่สับดอกบัวสาย

                     อภัยภูเบศรจัดเต็มภูมิปัญญาไทยรับมือโลกร้อนงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2567

กินอาหารรสเผ็ดร้อนให้เหงื่อออก จะช่วยระบายความร้อนที่สะสมอยู่ในร่างกาย และยังสามารถเสริมอาหารและเครื่องดื่มสมุนไพรที่ช่วยต้นอนุมูลอิสระลดการอักเสบ เช่น ขิง ขมิ้นชัน มะขามป้อม เป็นต้น 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในบูทของอภัยภูเบศ ยังมีการแนะนำอาหารจากดอกไม้ และ สมุนไพร เพื่อคลายร้อน พร้อมแจกสูตรฟรี อาทิ ยำดอกไม้น้ำปลาหวาน ยำดอกกุหลาบ แกงส้มผักปลัง ข้าวยำปักษ์ใต้ เมี่ยงคำกลีบบัว แกงจืดไข่น้ำดอกเล็บมือนาง ซุปดอกกระเจียว ข้าวแช่น้ำลอยดอกมะลิ ลาบดอกบัว  ฯลฯ 

                   อภัยภูเบศรจัดเต็มภูมิปัญญาไทยรับมือโลกร้อนงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2567

ผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมบูทอภัยภูเบศรได้ในโซนภาคตะวันออก มีจุดสังเกตคือพิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำและให้บริการตลอดกิจกรรม โดยงานจะมีไปถึงวันที่ 1 เม.ย. 2567