SAปักธงปี67รายได้ทะลุ7พันล้าน มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์รัฐหนุน

29 เม.ย. 2567 | 09:10 น.

SA วางเป้ารายได้ปี 67 แตะ 7 พันล้าน หลังโอนกรรมสิทธิ์โครงการ Landmark @ MRTA Station (พระราม 9) ในปีนี้กว่า 4.8 พันล้าน มองมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง ภาครัฐกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ-โอนอสังหาฯ แนะรัฐสนับสนุนการซื้ออสังหาฯ ต่างชาติ ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศได้

นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวสูง และแนวราบ รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่ต่อยอดเกี่ยวกับการพักอาศัยคอยให้บริการ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร health & wellness และเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้อยู่ที่ระดับ 7,000 ล้านบาท

แม้ว่าจะเป็นเป้าที่สูงและท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวอยู่ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ในมือรวมทั้งสิ้นกว่า 7,000 ล้านบาท โดยประเมินว่ารายได้หลักจะมาจากการโอนโครงการ Landmark @ MRTA Station (พระราม 9) ที่มี Backlog ณ สิ้นปี 2566 มูลค่ากว่า 4,800 ล้านบาท ที่คาดว่าจะสามารถทยอยโอนอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และในส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบประมาณ 2,000-2,200 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าในปี 2567 จะรับรู้รายได้จากธุรกิจอื่นๆ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร อยู่ที่ไม่น้อยกว่า 500-600 ล้านบาท สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจบริษัทฯ มุ่งเน้นธุรกิจโรงแรมและบริการ เพื่อรองรับธุรกิจท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว คาดรายได้ Recuring Business เป็นเป้าหมาย 15% ของรายได้บริษัท ภายใน 5 ปี อีกทั้งบริษัทกำลังพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับผู้สูงอายุ (Aged Society) โดยในโครงการจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเสริม เช่น บริการด้านการแพทย์ และเนอสซิ่งโฮม เป็นต้น

รวมไปถึงบริษัทยังวางแผนพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในทุกระดับราคาเพื่อรองรับทุกกลุ่มเป้าหมาย และจากเทรนด์ที่นิยมเช่าที่อยู่อาศัยมากกว่าซื้อ ที่ผ่านมาบริษัทพัฒนาคอนโดแบบ Branded Residence รองรับตลาดทั้งซื้อเพื่ออยู่ และซื้อเพื่อเช่า สำหรับที่อยู่อาศัย Branded Residence by Siamese Asset จะมีการบริหารจัดการจากทีมงานมืออาชีพภายใต้แบรนด์ของโรงแรมชั้นนำที่มีความน่าเชื่อถือ โดยจะได้รับ Capital Gain ที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการคอนโดมิเนียมทั่วไปอีกด้วย

ประเด็นมาตรการลดค่าโอนและค่าจดจำนองลงของภาครัฐนั้น มองว่าปกติบริษํทมีการใช้โปรโมชั่นส่งเสริมการขายแบบด้วยสิทธิการโอนกรรมสิทธิ์ฟรีให้กับลูกค้าอยู่แล้ว แต่มองว่ามาตรการดังกล่าวจะเข้ามาช่วยการตัดสินใจซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี มองว่าปัญหาจริงๆ คือ การเรียกเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์และที่ดิน ซึ่งปัจจุบันจะมีการเสียภาษีขั้นต่ำที่ 0.3% ต่อปี (ขึ้นอยู่กับมูลค่าของห้อง) ในห้องที่ยังไม่ขาย ห้องที่เป็น Stock ซึ่งมูลค่าสูงก็โดนภาษีเพิ่มขึ้น ในความคิดไม่ค่อยแฟร์กับผุ้ประกอบการ เพราะในส่วนของ SA ยังมีโครงการที่อยุ่ระหว่างการก่อสร้างในมืออีกกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่สามารถเปิดจองหรือขายได้ ก็โดนเก็บภาษีก่อนแล้ว ข้อเสนอ คือ อยากให้เก็บภาษีเมื่อขาย มีรายได้แล้วจึงเก็บภาษี ไม่ใช่ระหว่างก่อสร้างยังไม่เกิดรายได้ก็ต้องเข้าเกณฑ์โดนเก็บภาษีแล้ว

กรณีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท ทั่วประเทศนั้น มองว่าในอุตสาหกรรมอสังหาฯ เรตค่าแรงเกิน 400 บาทไปแล้ว เพราะจัดว่าเป็นกลุ่มที่ต้องใช้ทัศษะและความชำนาญพิเศษ (Label skill) ดังนั้น ค่าแรงจึงค่อนข้างสูงกว่า แต่มองว่าไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทเพราะเดิมก็มีการจ่ายให้แรงงานสูงกว่าขั้นต่ำอยู่แล้ว ส่วนพนักงานของโรงแรม ที่ได้รายได้อาจจะไม่สูงแต่ก็ได้เรื่องของเซอร์วิสชาร์ตเข้ามาเสริม อย่างไรก็ดี มองว่าจุดนี้ไม่ขัดแย้งและสนับสนุนเห็นดีด้วย ไม่อยากให้กดค่าแรงคนไทย อย่าให้คนไทยมีรายได้ที่ต่ำลง ประชาชนจะอยู่ไม่ได้ ค่ากินอยู่ในชีวิตประจำวันปัจจุบันสูงมาก

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทยปี 2567 มองว่าแนวโน้มตลาดคนไทยยังดูซึมตัว เพราะหนี้สินครัวเรือนสูงกว่า 90% ขณะที่รายได้เติบโตไม่ทันรายจ่าย และโตแบบตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ กำลังซื้อก็เลยไม่มี ตลาดอสังหาฯ ก็ซบเซา ดีหน่อยที่ กรุงเทพฯ มีตลาดต่างชาติ เข้ามาช่วย ตอนนี่ก้มีเมียนมาเข้ามา รัสเซียเริ่มกลับมา อยากให้ภาครัฐสนับสนุนการมาซื้ออสังหาฯ ของต่างชาติ ไม่ต้องกังวลว่าเป็นการยกทรัพย์สินให้ต่างชาติ เพราะที่ดินยกหนีไปไหนไม่ได้ ถึงเวลาอยากได้คืนก็เก็บภาษีในเกณฑ์ต่างชาติที่สูงขึ้น เหมือนกับระเบียบของสิงคโปร์ แบบนี้แล้วสุดท้ายต่างชาติก็จะขายคืนหมดแล้ว อย่าหวงไว้เลย การที่ต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาฯ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ให้มีการเติบโตที่ดีแล้ว ยังดึงเม็ดเงินจากต่างชาติเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยได้อีกจำนวนมาก

 

*อสังหาฯสีเขียว


พร้อมกันนี้ ในปี 2567 บริษัทมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมตามหลักการ "THE SUSTAINOVATIVE LIVING" เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้อยู่อาศัย โดยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เทคโนโลยีพลังงานทดแทน การใช้งานทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งได้จัดตั้ง บริษัท ไซมิส เทคโนโลยี จำกัด พัฒนานวัตกรรม ควบคู่กับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และมีเป้าหมายการติดตั้ง EV charger 30 สถานี และ Solar Roof ที่มีกำลังผลิตรวมกว่า 50,000 KWh ต่อเดือน

สอดคล้องกับนโยบาย "ธุรกิจสีเขียว" อสังหาฯ ที่ช่วยลดการปล่อย CO2 ซึ่งเป็นแนวคิดที่สำคัญของการก่อสร้างอาคารในอนาคต สู่แนวทางการพัฒนาอาคารอย่างยั่งยืน และเราเชื่อมั่นว่าอาคารประหยัดพลังงานจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นเมื่อเทียบกับอาคารทั่วไป สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดการเช่าและขายอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างดี และนับจากวันนี้ทุกโครงการที่บริษัทพัฒนาจะต้องได้รับใบรับรอง EDGE มาตรฐานอาคารสีเขียวจาก IFC

"เราให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบ พัฒนาเทคนิคการก่อสร้าง การเลือกใช้วัสดุที่ประหยัดพลังงานในการผลิต   เลือกอุปกรณ์ไฟฟ้าและสุขภัณฑ์ ที่ประหยัดพลังงาน ที่ทำให้เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้อาคาร จะลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 40%  รวมถึงการใช้พลังงานทางเลือกและอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า การส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้า ด้วยการติดตั้งสถานีชาร์ต EV ในโครงการของบริษัท และเทคโนโลยี Air of Life เครื่องกรองอากาศที่เติมอากาศบริสุทธิ์ สามารถกรองฝุ่น PM2.5 และประหยัดพลังงาน (Energy Recovery) ด้วยระบบแลกเปลี่ยนความร้อน ลดความร้อนจากภายนอกก่อนเข้าสู่ภายในที่อยู่อาศัย ทั้งหมดนี้เป็นนวัตกรรมที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้อยู่อาศัยของบริษัท"