ศาลแพ่ง สั่ง STARK ชดใช้ "กสิกรไทย" ผิดนัดหุ้นกู้ 4 รุ่น กว่า 5 พันล้านบาท

23 เม.ย. 2567 | 08:35 น.

"ศาลแพ่ง" สั่ง STARK ชดใช้ค่าเสียหาย “กสิกรไทย” ในฐานะผู้แทนหุ้นกู้ 4 รุ่น เงินต้นกว่า 5.26 พันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ฐานผิดนัด ชี้เป็นคดีเอาเปรียบผู้บริโภค จับตาคดี บล.เอเซียพลัส ฟ้องเรียกค่าเสียหาย "รุ่น STARK242A " กว่า 3.94 พันล้าน คาดศาลฯ ตัดสินในทางเดียวกัน

วันนี้ (23 เม.ย. 67) ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ ผบ.347,403/ 2566 ซึ่งโจทก์คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นแทน ฟ้องร้องบริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ซึ่งศาลได้มีการวินิจฉัยและตัดสินว่า STARK กระทำผิดสัญญาและผิดนัดชำระหนี้ โดยต้องคืนเงินให้กับธนาคารกสิกรไทยในฐานะผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้  4 รุ่นของ STARK   ( หุ้นกู้ทั้ง 4 ชุด เฉพาะเงินต้นยังไม่รวมดอกเบี้ย พบว่ามีมูลค่าคงค้างราว 5,264 ล้านบาท ) ได้แก่ 

  • 1.หุ้นกู้ ครั่งที่ 1/2564 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2566 (STARK239A) มูลค่าเงินต้น  1,291.50 ล้านบาท
  • 2.หุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (STARK249A) มูลค่าเงินต้น 949.50 ล้านบาท
  • 3.หุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (STARK245A) มูลค่าเงินต้น 1,701.10 ล้านบาท
  • 4.หุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 (STARK255A) มูลค่าเงินต้น 1,322.00 ล้านบาท


 

นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายกลุ่มรวมพลังหุ้นกู้ STARK ซึ่งเข้าร่วมรับฟังการพิจารณา เปิดเผยว่า ศาลได้มีคำพิพากษาให้ STARK ต้องคืนเงินต้นทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย รวมถึงศาลได้มีการกำหนดค่าเสียหายเพื่อลงโทษ 1 ใน 4 ของความเสียหาย ซึ่งต้องดูว่าศาลจะมีวิธีคิดคำนวนอย่างไร แต่ตามกฎหมายสามารถกำหนดค่าเสียหาย 1 เท่าตัวได้ อาทิเช่นค่าเสียหายมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท จากคำตัดสินให้ค่าเสียหายเพิ่ม 1 ใน 4 ก็เป็นค่าเสียหายระดับ 1,000 ล้านบาทเหมือนกัน โดยศาลได้พิจารณาแล้วว่าเป็นคดีที่มีการเอาเปรียบผู้บริโภค 

ขณะเดียวกันยังมีผู้เสียหายในกลุ่มผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2565 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 รุ่น STARK242A มูลค่าเงินต้นคงค้าง 3,934.30 ล้านบาท  ซึ่งผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ คือ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ซึ่งได้มีการฟ้องร้องแล้ว และตามข้อกฎหมายสามารถนำคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ ที่ผบ.347 , 403 / 256 ไปใช้ประกอบในการดำเนินคดีได้ และเชื่อว่าศาลจะมีการตัดสินไปในทางเดียวกันกับคดีนี้

"หลังจากที่ศาลตัดสินแล้ว ต้องดูว่า STARK จะมีการดำเนินการอย่างไรจะสู้คดีหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการอ้างบริษัทอยู่ในสภาวะถูกยึดทรัพย์ ไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชดใช้คืนผู้เสียหาย ต้องดูว่าจะมีการเจรจาบังคับคดีเพื่อคืนทรัพย์อย่างไร หากมีการอุทธรณ์ก็ต้องสู้คดีต่อไป หากไม่อุทธรณ์ก็ต้องดูว่ามีทรัพย์สินพอที่จะคืนเงินผู้สียหายหรือไม่ตามคำพิพากษา หากไม่คืนหรือไม่พอคืนก็อาจมีการขอให้ศาลมีคำพิพากษายึดทรัพย์ขายทอดตลาด แต่ปัจจุบันทรัพย์สินในส่วนของ STARK และผู้ถูกกล่าวหา ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ยึดอายัดไว้จึงทำให้บังคับคดีลำบาก " 
 

ทั้งนี้ ทางผู้เสียหายที่เป็นประชาชนอาจดำเนินการฟ้องผู้เกี่ยวข้องรายบุคคลเพิ่มเติมเช่น ผู้บริหาร ที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษาสำนักงานบัญชี เป็นต้น ทางกลุ่มรวมพลังหุ้นกู้สตาร์คที่ฟ้องจำเลย 24 ราย ได้มีการยื่นคำร้องขอดำเนินคดีผู้บริโภคแบบกลุ่ม หรือ consumer class action ไปแล้ว และฟ้องเรียกเสียหายเพิ่ม 2 เท่า จากค่าเสียหายประมาณกว่า 9,000 ล้านบาท ฟ้องค่าเสียหายเป็น 27,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นกรณีที่จงใจฉ้อฉลเอาเปรียบประชาชน ซึ่งศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้รับคำร้องแล้ว และคดีกำลังไต่สวนไปต่อเนื่อง รวมถึงขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษาเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับการฟ้องคดีอาญาเพิ่มเติม เนื่องจากมีจำเลยบางรายยังไม่ถูกฟ้องดำเนินคดี

อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีการนัดพิจารณากรณีที่ทางกลุ่มรวมพลังหุ้นกู้สตาร์ค คดีผู้บริโภคแบบกลุ่ม หรือ consumer class action ในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ รวมถึงจะมีกิจกรรมของกลุ่มรวมพลังหุ้นกู้ STARK ที่โรงแรมคลาวด์ พลาซ่า สีลม ในวันที่ 3 พ.ค.นี้ เพื่อชี้แจงให้ประชาชนรับทราบและเข้าใจว่าจะมีการเดินหน้าในการดำเนินคดีอย่างไร ประชาชนผู้เสียหายติดตามข่าวสารการฟ้องคดีโดยกลุ่มรวมพลังหุ้นกู้สตาร์คได้ทาง https://bit.ly/ThaiStarkLine