ตลาดรถยนต์ 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.68) ขายได้ 4.47 แสนคัน เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในจำนวนนี้เป็นของรถยนต์ไฟฟ้า EV 81,351 คัน เพิ่มขึ้น 55.8%
ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมประกันวินาศภัยเปิดเผยว่า การรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยกำลังประสบภาวะขาดทุน โดยภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมวินาศภัย มีอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) อยู่ที่ 120%
ทั้งนี้สาเหตุหลักของการขาดทุน เนื่องจากอะไหล่มีราคาแพงมาก ส่งผลให้มูลค่าการซ่อมรถยนต์ EV แพงกว่ารถยนต์สันดาปภายในโดยเฉลี่ยถึง 50% เนื่องจากแบตเตอรี่ที่มีราคาสูงมาก คิดเป็นประมาณ 70-80% ของราคารถยนต์
ขณะที่รถยนต์ EV โดยเฉพาะรถยนต์จีน มักออกแบบมาให้เน้นการเปลี่ยนมากกว่าการซ่อม และมักต้องเปลี่ยนแบบ ยกยวง หรือยกทั้งชิ้นที่มีองค์ประกอบหลายอย่าง แม้กระทั่งไฟหน้ารถ EV ก็อาจต้องซื้อเป็นคู่
ขณะเดียวกัน ยังมีการแข่งขันด้านราคารุนแรงอีกด้วย ซึ่งจากสถิติและความเสี่ยงแล้ว เบี้ยประกันภัยรถยนต์ EV ควรจะแพงกว่ารถยนต์ธรรมดาไม่น้อยกว่า 20% แต่การแข่งขันในตลาดทำให้เบี้ยประกันภัยในตลาดสูงกว่ารถยนต์ธรรมดาเพียง 10% หรืออาจจะใกล้เคียงกับรถยนต์ธรรมดามาก ทำให้แทบไม่มี Margin สำหรับผู้รับประกัน
ดร.สมพรกล่าวต่อว่า ในนามนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยได้เรียกประชุมสมาชิก 15 ราย เพื่อชี้แจงผลกระทบที่เกิดขึ้นและสถิติในต่างประเทศ ซึ่งพบว่า ประสบปัญหาขาดทุนเช่นกัน แม้แต่ในจีนเองที่มีประกันภัยรถยนต์ EV มาก่อนก็ยังไม่สามารถพลิกกลับมาทำกำไรจากการรับประภัยรถยนต์ EV ได้ จึงมีการแก้ปัญหา โดยการแยกกรมธรรม์ระหว่างตัวรถกับแบตเตอรี่ออกจากกัน
“เราเรียกสมาชิกมาประชุม เพื่อเตือนว่า การประกันภัยรถยนต์ EV อาจกลายเป็นอีกหนึ่ง “สึนามิ” ของธุรกิจประกันภัยซึ่งส่วนใหญ่ก็เริ่มหยุดรับประกันภัยหรือปรับเบี้ยเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีอีก 3 รายที่ยังเดินหน้าแข่งขันด้านเบี้ยประกันภัยอย่างหนัก ก็เป็นสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจของแต่ละแห่ง เขาคงอยากเป็นจอมยุทธ์เราทำได้แค่เตือน”
สำหรับทิพยประกันภัยเองได้ถอนตัวออกมาจากการเป็นผู้รับประกันภัยรายหลักของรถยนต์ EV อย่างชัดเจน เนื่องจากเห็นแนวโน้มของค่าสินไหมทดแทนที่พุ่งสูงขึ้น ปัจจุบันจึงมีการระมัดระวังในการรับประกันรถยนต์ EV และไม่แข่งขันในเรื่องของราคา ทำให้เบี้ยประกันภัยยนต์ EV ของทิพย ลดลงจากเดิมที่เคยมี 500-600 ล้านบาทต่อปี เหลือเพียง 100 กว่าล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่หยุดขายประกันรถยนต์ EV แต่ไม่แข่งขันด้านราคา
สำหรับภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2568 คาดการณ์ว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ประมาณ 1.5% ซึ่งลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 2.5-3% หลังจากช่วง 6 เดือนแรกของปี พบว่า อุตสาหกรรมโตเพียง 1.1% กว่าๆ เท่านั้น
ทั้งนี้ สาเหตุหลักของการเติบโตที่ชะลอตัวมาจากภาวะ Soft Market โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดประกันภัยต่อ (Reinsurance) ทั่วโลก ส่งผลให้เบี้ยประกันภัยของโครงการขนาดใหญ่ที่มีการต่ออายุลดลง สำหรับความเสี่ยงที่ไม่ใช่ภัยพิบัติ เบี้ยประกันลดลงประมาณ 10%
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจรู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น ภายหลังการเปลี่ยนรัฐบาล แต่เนื่องจากธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจที่เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ไม่ใช่เป็นตัวนำเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงต้องรอให้ภาคส่วนอื่นฟื้นตัวก่อน จึงจะส่งผลดีต่อประกันภัย
สำหรับเป้าหมายการเติบโตของทิพยประกันภัย เดิมทิพยประกันภัยตั้งเป้าการเติบโตให้สูงกว่าอุตสาหกรรม 2 เท่า เช่น ถ้าอุตสาหกรรมโต 1.5% ทิพยควรโต 3% แต่เนื่องจากผลกระทบของเบี้ยประกันภัยโครงการขนาดใหญ่ที่ลดลงในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วงที่งบประมาณราชการส่วนใหญ่สิ้นสุด ทำให้แนวโน้มการเติบโตของทิพยในปีนี้อาจไม่ถึง 3% ตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่ยังคงหวังว่า จะเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากรัฐบาลประกาศภารกิจเร่งด่วน 4 เดือน Quick Big Win สมาคมเล็งเห็นความสำคัญของระบบประกันภัยในการบริหารความเสี่ยงของประชาชน จึงเตรียมการเสนอต่อรัฐบาล เพื่อพิจารณาปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยจะเสนอให้แยกเบี้ยประกันสุขภาพออกจากเบี้ยประกันชีวิตในการลดหย่อยภาษี ในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท
“เดิมการให้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับเบี้ยประกันสุขภาพและเบี้ยประกันชีวิตรวมกันไม่เกิน 200,000 บาท โดยที่เป็นวงเงินสำหรับประกันสุขภาพไม่เกิน 20,000 เท่านั้น นอกจากนั้นยังจะเสนอให้นำเบี้ยประกันภัยด้านอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประกันภัยที่อยู่อาศัย มาเป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้ด้วย”ดร.สมพรกล่าวทิ้งท้าย
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนของไทยกำลังเผชิญกับ ความท้าทายครั้งสำคัญ นับตั้งแต่เริ่มต้นการผลิตในประเทศ โดยมีโจทย์ใหญ่หลายด้านที่ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัว ทั้งการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและยานยนต์ไฟฟ้า (EV Disruption) ส่งผลให้ความต้องการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลกและในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ผลิตรถยนต์ต้องลงทุนและปรับสายการผลิตครั้งใหญ่จากรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ระบบไฟฟ้า
นางหทัยวัลคุ์ ตุงคะธีรกุล เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดกล่าวว่า จีนเดินหน้าทำสงครามราคาในหลายตลาดทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยยังไม่ทราบว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด เมื่อเปรียบเทียบราคาเฉลี่ยของรถยนต์สัญชาติจีนและญี่ปุ่นในประเทศไทย พบว่า รถจีนมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 0.54 ล้านบาท ขณะที่รถญี่ปุ่นมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.20 ล้านบาท ส่วนรถยนต์สัญชาติจีนที่ขายในประเทศจีนเองมีราคาเฉลี่ยต่ำเพียง 0.38 ล้านบาท
การบุกตลาดของรถยนต์จีนส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในประเทศแยกตามสัญชาติเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตลาดรถยนต์ใหม่ในปีนี้ (2025f) คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ราว 600,000 คัน โดยคาดว่ารถยนต์จีนจะเข้ามากินส่วนแบ่งตลาดถึง 22%ในปี 2025 (เทียบกับ 13% ในปี 2024)
การรุกตลาดของรถจีนส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในประเทศไทยอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจดีลเลอร์และธุรกิจรถมือสอง จำนวนดีลเลอร์ของค่ายรถญี่ปุ่นและตะวันตก คาดว่าจะลดลงถึง -62% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ในขณะที่จำนวนดีลเลอร์ของค่ายรถจีนคาดว่าจะเพิ่มขึ้น +23% (YoY) ในช่วงเวลาเดียวกัน
ขณะที่ดัชนีราคารถยนต์มือสอง (รถยนต์นั่ง) มีทิศทางลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 และต่อเนื่องไปจนถึงสิงหาคม 2025.
การแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นและสงครามราคาในตลาดโลกกระทบต่อโอกาสในการผลิตและส่งออกของไทย ปริมาณการผลิตโดยรวม โดยการผลิตรถยนต์ไทยคาดว่าจะเหลือราว 1.43 ล้านคัน ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงโควิด-19
รถยนต์จีนที่บุกตลาดโลกทำให้โอกาสส่งออกของไทยลดลงเหลือราว 9.2 แสนคัน และกำลังการผลิตรถยนต์ใน 8 เดือนแรกของปี 2025 คาดว่าจะลดลงในรถยนต์ประเภทหลัก
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,144 วันที่ 30 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568